วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คนดีไม่มีวันตาย

รู้สึกเหนื่อยที่ต้องทำงาน ต้องเรียน ต้องฝึก บ้างหรือเปล่า ?
รู้สึกเบื่อหน่ายหรือท้อใจบ้างไหม ?
อยากให้ลองดูวีดีโอข้างล่างนี้

แล้วคุณจะรู้ว่า ยังมีเพื่อนร่วมอาชีพของเราที่กำลังทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติอยู่อย่างเงียบๆ
พวกเขายอมเสี่ยงชีวิตและดำรงชีพอยู่ในสภาพที่ยากลำบากมากกว่าเราหลายเท่านัก

แม้จะรู้สึกเหนื่อย หวาดกลัวและคิดถึงบ้าน
แม้จะรู้ว่าในการปฏิบัติหน้าที่ อาจมีสักวันที่จะไม่ได้กลับมาพบหน้าบุคคลอันเป็นที่รักอีกต่อไป

แต่ด้วยหน้าที่ของ "ทหาร" พวกเขาจำเป็นต้องทำ !

เมื่อลองย้อนมามองและสำรวจดูตัวเราเอง
บางทีเราอาจพบว่า ตัวเรานั้น วันๆ ได้แต่รักความสบายและคิดแต่จะเรียกร้องเอาสิทธิต่างๆ
ได้แต่บ่นโน่นบ่นนี่ด้วยความไม่พอใจ หรือได้แต่ปล่อยเวลาให้ล่วงเปล่าไปโดยไม่คิดจะทำประโชน์อะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง

บางทีเราอาจพบว่า ตัวเรานั้น นอกจากจะไม่ได้เป็นผู้ให้แล้ว ยังขาดคุณสมบัติของการเป็นผู้รับที่ดีด้วย
 
ถ้าท่านเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกขอบคุณเพื่อนทหารผู้เสียสละของเราเหล่านั้น 
หรือท่านรู้สึกว่าวีดีโอนี้ได้สร้างความรู้สึกที่ดีหรือแรงบันดาลใจบางอย่างให้แก่ตัวท่านแล้ว
ท่านคิดจะตอบแทนความเสียสละพวกเขาเหล่านั้นอย่างไร ?




แม้จะสะเทือนใจ แต่ก็หวังว่าวีดีโอนี้คงช่วยให้ท่านสามารถสร้างกำลังใจในการทำงานหรือปฏิบัติหน้าที่ขึ้นมาได้บ้าง

(สำหรับคนที่ใจไม่แข็งหรือไม่ชอบภาพที่หวาดเสียว กรุณาข้ามบทความนี้ไปเลยนะครับ)

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

อิงวาร์ คัมพราด

แม่ผมได้รับแจกหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งชื่อ "M5F (Monday to Friday)" ตอนไปหาหมอที่ศิริราช เป็นฉบับวันที่ 14 ต.ค. 54 ซึ่งมีบทความเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจและเกี่ยวเนื่องกับบทความทีผมเคยนำมาลงไว้ในบล็อกนี้ ชื่อเรื่อง "ชีวิตสมถะสไตล์เศรษฐี IKEA อิงวาร์ คัมพราด" เลยขอก๊อบเอามาให้อ่านกันดังนี้



แวดวงคนที่ชื่นชอบการตกแต่งบ้าน ณ พ.ศ. นี้ ต้องรู้จัก IKEA แบรนด์เฟอร์นิเจอร์สุดชิกจากสวีเดนที่จะเปิดตัวที่บ้านเราในเดือน พ.ย. ที่จะถึงนี้เป็นแน่แท้  ด้วยความเป็นแบรนด์สินค้าตกแต่งบ้านบุกเบิกความนิยมสไตล์เรียบง่ายแต่ดูดี  หรือแนวทางแบบ Minimalism ที่เข้ากันได้ดีกับการตกแต่งห้องทุกรูปแบบ จึงทำให้ประสบความสำเร็จทั้งเรื่องของรายได้และความนิยมในตัวสินค่าในหลายประเทศทั่วโลก  แต่เมื่อเจาะลึกถึงการใช้ชีวิตของผู้ให้กำเนิก IKEA อิงวาร์ คัมพราด (Ingvar Kamprad) กลับตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

คงไม่มีใครสังเกตหรือคาดคิดว่าคนคนนี้จะเป็นถึงมหาเศรษฐีท็อปเทนระดับโลกที่มีทรัพย์สินรวมกว่า 7.37 แสนล้านบาท เพราะการแต่งตัวที่ดูเหมือแค่ชายชราธรรมดาๆ ที่กินเงินบำนาญเลี้ยงชีพไปวันๆ

คัมพราด มีนิสัยประหยัดมัธยัสถ์และเรียบง่ายมาก อย่างเช่น การใช้รถวอลโว่คันเก่า เดินทางด้วยสารการบินต้นทุนต่ำ ซ้ำยังโหนรถเมล์ มีบ้านหลังพอดีที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ของตัวเอง เรียกได้ว่าประหยัดทุกวิถีทางที่จะทำได้  การใช้ชีวิตแบบมัธยัสถ์ของเขาทำให้เกิดเรื่องวุ่น ๆ ปนฮาขึ้นบ้าง เช่น เมื่อตอนที่คัมพราดได้รัับเชิญไปงานรางวัลนักธุรกิจแก่งปี  ยามรักษาความปลอดภัยหน้างานกลับไม่อนุญาตให้เข้าร่วมงานเพราะเห็นว่ามหาเศรษฐีซ่อนรูปรายนี้เดินทางมาด้วยรถเมล์จนไม่คิดว่าเขาจะเป็นหนึ่งในแขกผู้มีเกียรติที่เข้าร่วมงาน มิหนำซ้ำ เมื่อได้รับเชิญให้ตัดริบบิ้นเปิดหุ่นรูปปั้นเหมือนตัวเองที่ประเทศสวีเดนบ้านเกิดของเขา คัมพราดไม่ยอมตัดริบบิ้นนั้น แต่กลับค่อยๆ แก้ริบบิ้นออกพร้อมพับเก็บให้นายกเทศมนตรีประจำเมืองไว้ใช้ในงานต่อๆ ไป



ทุกวันนี้ คัมพราด ยังใช้ชีวิตประจำวันสุดเรียบง่าย ปล่อยให้ลูกๆ เข้ามาช่วยดูแลกิจการเฟอร์นิเจอร์ ส่วนตัวเองพักผ่อนในบ้านหลังย่อมกับภรรยาคู่ชีวิต  ออกไปทานข้าวร้านอาหารเล็กๆ เป็นบางครั้ง ไปช็อปปิ้งตอนบ่ายที่สินค้าเริ่มลดราคา แม้กระทั่งต่อราคาของกับแม่ค้าในตลาดก็ทำมาแล้ว

แม้ว่า คัมพราด จะมีแนวทางการใช้ชีวิตที่สวนทางกับมหาเศรษฐีระัดับโลกหลายๆ คน แต่ก็ให้เหตุผลของแนวคิดสวนกระแสของตัวเองว่า "ก็มีบ้างที่ผมซื้อเสื้อผ้าดีๆ ใส่ ทานอาหารร้านหรูๆ แต่การใช้ชีวิตอย่างสุรุ่ยสุร่ายมากๆ อาจจะกระทบต่อคนอื่น อย่งเช่น ลูกน้องที่เลือกผมเป็นแบบอย่าง คนเป็นหัวหน้าควรทำตัวเป็นแบบอย่ืางที่ดีให้กับลูกน้อง ทั้งด้านการบริหารและเรื่องชีวิตส่วนต้ัว"

มองในอีกมุมหนึ่ง เศรษฐี IKEA ผ้าขี้ริ้วห่อทองอาจต้องการบ่งบอกถึงปรัญชฃาการออกแบบสินค้าที่โชว์ความเรียบง่าย เน้นคุณภาพและประโยชน์ใช้สอยเป็นหลักก็เป็นได้

จุดกำเนิด IKEA

อิงวาร์ คัมพราด เริ่มต้นธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ IKEA ตั้งแต่อายุ 17 ปี โดยชื่อ IKEA มาจากอักษรตัวแรกของชื่อของเขา Invar Kamprad และคำว่า Elmtaryd กับ Agunnaryd ซึ่งเป็นชื่อผาร์มและหมูบ้านบ้านเกิดของเขาเอง IKEA เริ่มต้นด้วยการขายปากกา กระเป๋าสตางค์ กรอบรูป นาฬิกาข้อมือ และสินค่าทุกอย่างที่เขาคิดว่าจะขายในราคาที่ถูกกว่าตลาดได้ ต่อมา เมื่อสินค้่าตกแต่งบ้านในแบรนด์นี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า IKEA จึงปรับเปลี่ยนมาผลิตประเภทนี้เสียส่วนมาก ด้วยรูปแบบสินค่าที่มีสไตล์คลาสสิก และการออกแบบที่ตอบโจทย์ลูกค้าในด้่านประโยชน์ใช้สอย IKEA ขยายสาขาไปมากกว่า 276 แห่ง ในกว่า 25 ประเทศทั่วโลก IKEA ยังเตียมเปิดตัวสาขาแรกในเมืองไทยในเดืนอ พ.ย. ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการเมกะบางนา แหล่งช็อปปิ้งพักผ่อนแห่งใหม่ที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

รร.พธ.พธ.ทร.กับการจัดการศึกษาเฉพาะทาง

บทความพิเศษเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาโรงเรียนพลาธิการ
(26 มิ.ย. 51)
  • เมื่อกล่าวถึง รร.พธ.พธ.ทร. แล้ว เชื่อว่าทหารเหล่าพลาธิการทุกท่านคงจะรู้จักกันดีในฐานะที่เป็นสถานศึกษาซึ่งมีหน้าที่ในการผลิตและพัฒนาบุคลากรในสายงานพลาธิการที่มีคุณภาพให้แก่ ทร. แต่ รร.พธ.ฯ ยังมีสถานภาพในอีกแง่มุมหนึ่งที่หลายท่านอาจยังไม่รู้จักก็คือ การเป็นสถาบันการศึกษาเฉพาะทาง แห่งหนึ่งของ ทร.  ซึ่งเป็นไปตาม มาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่บัญญัติไว้ว่า กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น อาจจัดการศึกษาเฉพาะทางตามความต้องการและความชำนาญของหน่วยงานนั้นได้  โดยคำนึงถึงนโยบายและมาตรฐานการศึกษาของชาติ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง”   ซึ่งกฎกระทรวงว่าด้วยการศึกษาเฉพาะทาง พ.ศ. ๒๕๔๗ ได้กำหนดหลักเกณฑ์เพิ่มเติมไว้ โดยมีใจความที่สำคัญคือ  สถานศึกษาต้องจัดให้มีการประกันคุณภาพภายใน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา และเพื่อรองรับการประกันคุณภาพภายนอก
  • รร.พธฯได้ตระหนักถึงภาระหน้าที่ดังกล่าวและได้พยายามจัดรูปแบบการศึกษาของนรจ.ให้มีลักษณะเฉพาะที่คำนึงถึงทั้งสองด้าน คือทั้งด้านความต้องการกำลังพลของกองทัพ และด้านมาตรฐานการศึกษาของชาติ อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติที่ผ่านมายังมีปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานและการบรรลุเป้าหมายอยู่หลายประการ ทั้งด้านองค์วัตถุและองค์บุคคล ซึ่งเป็นปัญหาที่สถานศึกษาทางทหารหลายแห่งล้วนประสบอยู่เช่นเดียวกัน ดังนั้น เพื่อสะท้อนภาพให้ทุกท่านได้เห็นถึงปัญหาและการยอมรับของบุคคลภายนอกที่มีต่อสถานศึกษาของทหารในบางแง่มุม จึงใคร่ขอยกข้อคิดเห็นและมุมมองของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ได้กล่าวถึงสถานศึกษาของทหารเอาไว้อย่างน่าสนใจดังนี้
  • การศึกษาเฉพาะทางของทหารนั้น ค่อนข้างถูกละเลย ใน 3 เหล่าทัพมีโรงเรียนในสังกัดอยู่ถึง 70 กว่าแห่ง แต่ยังขาดการสนับสนุนจากองค์กรภาครัฐ ครูทหารยังไม่ได้รับการพัฒนาที่ต่อเนื่อง มีครูวนเวียนเข้ามาทำหน้าที่สอนแบบไม่ต่อเนื่อง ขาดความตรงเฉพาะด้าน วุฒิการศึกษาไม่ตรง มีแต่ความชำนาญ มาโดยตำแหน่ง มีปัญหาการเทียบโอน ผู้สำเร็จการศึกษาเฉพาะทางจากสถาบันทหารยังขาดโอกาสทางการศึกษา ไปศึกษาต่อไม่ได้ ถ้าไป ต้องลดไปใช้วุฒิที่ต่ำกว่า ทำให้ขาดโอกาสทางการศึกษา
  • จากข้อคิดเห็นดังกล่าว หากเราพิจารณาด้วยใจเป็นธรรมแล้ว ก็จะเห็นว่ามีความจริงอยู่ค่อนข้างมาก ข้อคิดเห็นนี้ จึงเป็นสิ่งที่ช่วยบอกกล่าวได้ว่า ในการยกระดับมาตรฐานการศึกษาอบรมในสายวิทยาการพลาธิการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาของ นรจ.ซึ่งจะเป็นกำลังพลระดับนายทหารประทวนหลักของเหล่าทหารพลาธิการต่อไปนั้น หากจะปล่อยให้ รร.พธ.ฯ เป็นผู้รับภาระในการ สร้างและพัฒนาคนให้ได้ตามมาตรฐานที่ถูกกำหนดขึ้นโดยหน่วยงานพลเรือนแต่เพียงลำพังแล้ว ก็ยากที่จะประสบผลสำเร็จ
  • ดังนั้น เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมาย รร.พธ.ฯ จึงต้องการความร่วมมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพวกเราชาวพลาธิการทุกคนที่จะเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรทางการศึกษา โดยเข้ามามีส่วนช่วยเหลือและร่วมให้การสนับสนุน ทั้งด้านกำลังกาย กำลังความคิด กำลังสติปัญญา กำลังทรัพย์ (หากอยู่ในวิสัย) หรือแม้แต่เพียงกำลังใจ  ซึ่งเรื่องนี้นับว่ามีความสำคัญมาก เพราะหากเราได้พิจารณาดูองค์กรหลายแห่งที่ประสบความสำเร็จอยู่ในขณะนี้แล้วจะพบว่า องค์กรเหล่านี้แม้ว่าในอดีตอาจจะเคยทุ่มเทในด้านองค์วัตถุและเทคโนโลยีกันอย่างมากมาย แต่ปัจจุบันต่างก็ได้หันมาให้ความสำคัญกับการสร้างและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และทุนมนุษย์ด้วยกันทั้งสิ้น เพราะองค์กรเหล่านี้ตระหนักดีว่า คุณภาพของคนและองค์ความรู้จะเป็นเครื่องชี้นำถึงอนาคตและความอยู่รอดขององค์กร
หากกล่าวในประเด็นนี้แล้ว ก็น่าปลื้มใจอยู่ว่า บรรพบุรุษทหารเรือของเราได้มีวิสัยทัศน์ในเรื่องนี้มาตั้งแต่ในอดีตแล้วเช่นเดียวกัน ดังจะเห็นได้จากคำสอนของคุณครูหลายท่านที่ย้ำว่า เหล็กในคน สำคัญกว่าเหล็กในเรือ พวกเราทุกคนจึงควรที่จะสานต่อเจตนารมณ์ของท่านเหล่านั้นมิใช่หรือ



ข้างบนนี้คือบทความที่เผยแพร่ในข่าวสาร พธ.ทร.เมื่อปีงบประมาณ 51 ซึ่งผมได้รับมอบหมายจาก น.อ. สุรวิทย์ อาษานอก ผอ.รร.พธ.ฯ ในขณะน้ัน ให้เขียนบทความเกี่ยวกับบทบาทของ รร.พธ.ฯ ในฐานะสถานศึกษาที่จัดการศึกษาเฉพาะทาง ซึ่งได้เคยเผยแพร่ทางเว็บไซต์ของ รร.พธ.ฯ แล้วเช่นกัน แต่ปัจจุบันได้เอาออกไปแล้ว ผมไปเจอโดยบังเอิญจากการ Search Google ค้นหาชื่อตัวเอง เลยคิดว่าน่าจะนำมาเก็บไว้ให้ดูกันต่อไป ซึ่งแม้จะไม่ใช่บทความที่ให้ข้อมูลด้านการบริหารจัดการศึกษามากนัก เพราะจุดประสงค์หลักคือการบอกกล่าวเรียกร้องความสนใจและความร่วมมือจากชาว พธ.ทุกคนให้เข้ามามีส่วนช่วยเหลือ รร.พธ.ฯ ด้านการศึกษาในวันคล้ายวันสถาปนา รร.พธ.ฯ แต่อย่างน้อยมันก็สะท้อนให้เห็นถึงข้อเท็จจริงบางประการของความเป็นอยู่และเป็นไปในแวดวงการศึกษาของ พธ.ทร.ที่ยังคงรอการแก้ไขและปรับปรุงอยู่ 

ข้อสอบเด็กอนุบาล [ที่ไหนเนี่ย]

ข้อสอบเด็กอนุบาล [ที่ไหนเนี่ย]


Which way is the bus below travelling?
คุณคิดว่ารถกำลังไปทางไหน

To the left or to the right?
ไปทางซ้ายหรือทางขวา





Can't make up your mind?
ตอบไม่ได้ใช่ใหม

Look carefully at the picture again.
ลองดูรูปให้ดีอีกครั้งสิ

Still don't know?
ก็ยังไม่รู้ใช่ใหม

Primary school children all over the UK
were shown this picture and asked the same question.
เด็กอนุบาลที่ UK ได้ดูรูปนี้และถูกตั้งคำถามเดียวกัน

90% of them gave this answer:
90% ของเด็กที่ดูรูปสามารถตอบคำถามนี้ได้ว่า

'The bus is travelling to the right.'
'รถกำลังไปทางขวา'

When asked, 'Why do you think the bus is travelling to the right?'
'ทำไมถึงคิดว่ารถไปทางขวาล่ะ'

They answered:
เด็กๆ ตอบว่า

'Because you can't see the door to get on the bus.'
'เพราะว่าเราไม่เห็นประตูให้ขึ้้นรถน่ะสิ'

How do you feel now???
ตอนนี้คุณรู้สึกยังไง

I know, me too.
ผมรู้ เพราะผมก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน


  

จาก http://www.skupload.com
เครดิต : unigang

วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2554

วิธีคิดและการใช้ชีวิตของเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก


Bill Gates
 บิลล์ เกตส์ ออกมาประกาศว่าภายในปี 2551 จะค่อยๆ วางมือและถ่ายโอนอำนาจบางส่วนจากการเป็นประธานบริษัทไมโครซอฟต์ โดยจะเริ่มอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้
เกตส์บอกว่าเขาไม่ได้คิดที่จะเกษียณหรือลาออกจากตำแหน่งประธาน แต่ต้องการจัดลำดับความสำคัญเรื่องส่วนตัวซะใหม่

เรื่องส่วนตัวที่สำคัญของเกตส์นั้นคือการดูแลมูลนิธิ Bill & Melinda Gates Foundation ที่ร่วมกันก่อตั้งกับเมลินด้าภรรยาเมื่อปี 2543 มูลนิธิมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อบริจาคทุนการศึกษาแก่สถาบันการศึกษาทั่วโลกที่ขาดแคลนเงิน และตั้งทุนวิจัยเพื่อป้องกันและรักษาโรคเอดส์

Bill gates melinda gates
เพียงแค่ 6 ปีมูลนิธิของเกตส์และภรรยาบริจาคเงินช่วยเหลือคนทั่วโลกไปแล้วกว่า 27,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ1 ล้านล้านบาท มากเป็นที่ 2 รองจากมูลนิธิ Stichting INGKA Foundation ก่อตั้งโดย อิงก์วาร์ คามพราด มหาเศรษฐีใจบุญชาวสวีเดน เจ้าของห้างขายเฟอร์นิเจอร์ไอเคีย (IKEA) ที่ตั้งมูลนิธินี้ขึ้นเพื่อส่งเสริมการประดิษฐ์คิดค้นงานด้านสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายใน ที่ผ่านมาได้บริจาคเงินช่วยเหลือไปแล้ว 36,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.4 ล้านล้านบาท

ivar kamprad
แต่ในอนาคตเชื่อว่ามูลนิธิของเกตส์และภรรยาจะเป็นมูลนิธิที่บริจาคเงินช่วยเหลือสังคมสูงที่สุดในโลก เพราะ วอร์เรน บัฟเฟ็ทท์ มหาเศรษฐีอันดับ 2 ของโลก ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทเพิ่งออกมาประกาศว่า จะบริจาคเงินจำนวน 37,000 ล้านดอลลาร์เข้ามูลนิธิ Bill & Melinda Gates Foundation

Bill gates , Melinda gates , Warren buffet
นิตยสารฟอร์บ จัดอันดับให้ อิงก์วาร์ คามพราด เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 4 ของโลก มีทรัพย์สิน 28,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.1 ล้านล้านบาท

บิลล์ เกตส์ และ อิงก์วาร์ คามพราด นอกจากจะร่ำรวยและใจบุญเหมือนกันแล้ว ยังมีอีกอย่างที่เหมือนกันคือเป็นคนประหยัด เกตส์ยังชอบทานฟาสต์ฟู้ดราคาถูก เวลาออกรอบเล่นกอล์ฟกับ วอร์เร็น บัฟเฟ็ทท์ เพื่อนร่วมก๊วนขาประจำ ทั้งคู่เล่นพนันกันหลุมละ 1 ดอลลาร์

ส่วนคามพราด วัย 80 ปีประหยัดยิ่งกว่าเกตส์ เมื่อเดือนมีนาคม เพิ่งให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ด้วยความภาคภูมิใจในความประหยัดและอยากให้พนักงานร้านไอเคีย 90,000 คน จาก 202 ร้านใน 32 ประเทศทั่วโลกถือเป็นแบบอย่าง


IKEA
คามพราดบอกว่าเขายังขับรถวอลโว่คันเก่าที่ใช้มา 15 ปี นั่งเครื่องบินชั้นประหยัด และแนะนำให้พนักงานของไอเคียใช้กระดาษทั้ง 2 หน้า ไม่ใช่พิมพ์หรือเขียนหน้าเดียวแล้วทิ้ง
 
 
IKEA founder car - Old Volvo

  แม้เกตส์และคามพราดจะเข้าข่ายมหาเศรษฐีขี้เหนียว แต่ทั้งคู่ก็ประหยัดเฉพาะเรื่องการใช้จ่ายส่วนตัว ไม่ขี้เหนียวในการช่วยเหลือสังคม เงินที่เกตส์บริจาคผ่านทางมูลนิธิของเขาคิดเป็น 52% ของทรัพย์สินที่เขามี แม้บางคนจะมองว่าทั้งสองคนตั้งมูลนิธิเพื่อเลี่ยงภาษีและสร้างภาพ แต่ยังไงซะก็ดีกว่าการหลบเลี่ยงภาษี

ปัจจุบัน บิลล์ เกตส์ มีทรัพย์สินมากกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยก็เฉียดๆ 2 ล้านล้านบาท แต่เขาบอกว่าจะไม่ยกเงินทั้งหมดที่มีให้กับลูกทั้ง 3 คน แต่จะยกให้คนละประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ หรือ 790 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 95% จะยกให้กับมูลนิธิ



มีคนเคยถามเกตส์ว่าทำไมถึงไม่ยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้กับลูกทั้ง 3 คน

เกตส์ตอบว่าเงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้หากยกให้ลูกจะไม่ทำให้เกิดประโยชน์แก่สังคมและกับลูกทั้งสาม เพราะปรัชญาในการดำรงชีวิตของเขาก็คือนำทรัพย์สมบัติที่มีคืนให้กับสังคม

ได้ฟังแง่คิดในการดำรงชีวิตของ บิลล์ เกตส์ แล้วทำให้ไม่แปลกใจที่เขาเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกที่ไม่เคยมีใครพูดถึงเขาในทางไม่ดี หรือพูดถึงด้วยความหมั่นไส้อิจฉา

ที่มา : คลุกวงใน/พิษณุ นิลกลัด มติชนสุดสัปดาห์ 30 มิ.ย. 49 ปีที่ 26 ฉบับที่ 1350

ใครๆ คงอยากรู้ว่า ทำไมอภิมหาเศรษฐีเขาชอบขับรถเก่าๆ จากการค้นหารูป เลยได้ข้อความอันนี้มาฝากเพิ่มเติมครับ

Richest people don’t need status symbol

Apparently, richest people like Warren Buffet has have enough attention already, they would like to keep low profile and enjoy their private life. So, instead of expensive fancy cars that most of us would like to pursue, richest people would like to have normal / common cars to prevent anyone knowing that a billionaire is inside.

"คนที่รวยจริงเขาไม่ต้องการสิ่งที่เป็นสัญญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงสถานะของเขากันหรอก

ก็รู้กันอยู่แล้วว่า พวกคนรวยๆ อย่าง วอร์เรน บัฟเฟต เป็นคนที่ได้รับความสนใจจากสังคมอยู่แล้ว คนพวกนี้จึงพยายามทำตัวไม่ให้เด่นจนเกินไป เพื่อจะได้มีโอกาสใช้ชีวิตส่วนตัวให้มากขึ้น ดังนั้น แทนที่จะใช้รถคันหรูแพงระยับเหมือนที่คนทั้งโลกเขาพยายามจะทำกัน คนเหล่านี้เลือกที่จะใช้รถที่ดูแสนจะปกติธรรมดาสามัญเพื่อเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้ใครรู้ว่า ภายในรถบ้านๆ พื้นๆ คันนั้นน่ะ มีโคตะระอภิมหาเศรษฐีนั่งอยู่นะเฟ้ย !"


วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เรื่องเล่าจากหญิงชรา


วันแรกที่พวกเราเริ่มการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น อาจารย์ของเราได้เข้ามาแนะนำตัวและบอกให้พวกเราทำความรู้จักกับคนอื่นๆ ที่เราไม่รู้จักมาก่อน ผมยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ และมีมือๆ หนึ่งเอื้อมมาจับบ่าของผม ผมหันไปพบกับหญิงชราร่างเล็ก ผิวหนังเหี่ยวย่นที่ส่งรอยยิ้มอันเป็นประกายมาให้ผม รอยยิ้มนั้นทำให้เธอดูสดใสอย่างยิ่ง

หญิงชราคนนั้นกล่าวขึ้นว่า
"สวัสดี รูปหล่อ ฉันชื่อโรส อายุแปดสิบเจ็ดแล้ว มาให้ฉันกอดสักทีสิ"



ผมหัวเราะกับท่าทางของเธอ และตอบอย่างร่าเริงว่า
"แน่นอน ไดสิครับ" แล้วเธอก็กอดผมอย่างแรง ผมถามเธอว่า
"ทำไมคุณถึงมาเรียนมหาวิทยาลัยเอาตอนที่อายุน้อยและไร้เดียงสาอย่างนี้ล่ะ.."

เธอตอบด้วยเสียงปนหัวเราะว่า "ฉันมาหาสามีรวยๆ ที่ฉันจะได้แต่งงานด้วย แล้วมีลูกสักสองสามคน.." ผมขัดจังหวะเธอโดยถามว่า "ไม่เอาครับ..ถามจริงๆ " ผมสงสัยจริงๆ ว่า อะไรทำให้เธอมาเรียนที่นี่ตอนที่อายุขนาดนี้ และเธอตอบว่า

"ฉันฝันมานานแล้วว่าฉันจะได้ปริญญา และตอนนี้ ฉันก็กำลังจะได้ปริญญาที่ฉันฝัน"
หลังเลิกเรียนวิชานั้น เราเดินไปที่อาคารสโมสรนักศึกษาด้วยกัน และนั่งกินช็อคโกแลตปั่นด้วยกัน เรากลายเป็นเพื่อนกันในทันที

ตลอดสามเดือนหลังจากนั้น เราจะออกจากชั้นเรียนพร้อมกัน และจะไปนั่งคุยกันไม่หยุด ผมนั้นประหลาดใจเสมอเมื่อได้ฟัง "ยานเวลา" ลำนี้ แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ของเธอให้กับผม

ตลอดปีนั้น โรสได้กลายเป็นสัญญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยของเรา และเธอนั้นจะเป็นเพื่อนได้กับทุกคนในทุกที่ที่เธอไป เธอรักที่จะแต่งตัวดีๆ และดื่มด่ำอยู่กับความสนใจที่นักศึกษาคนอื่นๆ มีให้กับเธอ เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ เมื่อถึงตอนสิ้นสุดภาคการศึกษา เราได้เชิญโรสให้มาพูดที่งานเลี้ยงของทีมฟุตบอลของเรา ผมไม่เคยลืมเลยว่า เธอได้สอนอะไรให้กับเรา... พิธีกรแนะนำตัวเธอ และเธอก็เดินขึ้นมาที่แท่น

ตอนที่เธอกำลังเตรียมตัวที่จะพูดตามที่เธอตั้่งใจนั้น เธอทำการ์ดที่บันทึกเรื่องที่เธอจะพูดตกพื้น เธอทั้งอาย ทั้งประหม่า แต่เธอโน้มตัวเข้าหาไมโครโฟนแล้วบอกว่า


"ขอโทษด้วยนะ ที่ฉันซุ่มซ่าม ฉ้นเลิกกินเบียร์มาต้ังนานแล้ว แต่วิสกี้พวกนี้มันแรงจริงๆ ... ฉันคงจะเอาบทของฉันมาเรียงใหม่ไม่ทันแล้ว งั้นฉันก็คงได้แค่บอกเรื่องที่ฉันรู้ให้กับพวกคุณก็แล้วกัน"

พวกเราทุกคนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ตอนที่เธอเริ่มต้นว่า

"พวกเราทุกคนนั้น ไม่ได้หยุดเล่นเพราะเราแก่หรอก แต่เราแก่เพราะว่าเราหยุดเล่น ที่จริงแล้ว มีเคล็ดลับสู่การที่จะยังหนุ่มสาวอยู่เสมอ มีความสุขและประสบความสำเร็จอยู่ 4 ประการ

1) พวกคุณจะต้องหัวเราะ และมีเรื่องสนุกๆ ขำขันทุกวัน

2) พวกคุณจะต้องมีความฝัน เมื่อไรก็ตามที่คุณสูญเสียความฝันของคุณไป คุณจะตาย มีคนมากมายที่ยังเดินไปเดินมาอยู่ทั้งๆ ที่ตายไปแล้วและไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว..

3) การที่คุณ "แก่ขึ้น" กับ "เติบโตขึ้น" นั้นมันต่างกันมาก ถ้าคุณอายุสิบเก้า แล้วนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ ปีหนึ่ง และไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ตลอดทั้งปี คุณก็จะอายุยี่สิบ ถ้าฉันอายุแปดสิบเจ็ดแล้วนอนเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งปี ฉันก็จะอายุแปดสิบแปด ทุกๆ คนจะแก่ขึ้นทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องอาศัยความสามารถอะไรเลย ประเด็นของการเติบโตขึ้นนั้น อยู่ที่การแสวงหาโอกาสในการเปลี่ยนแปลง

4) อย่าทิ้งอะไรไว้ให้เสียใจภายหลัง คนสูงอายุส่วนใหญ่นั้น ไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว แต่มักจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ คนที่กลัวความตายนั้น มีแต่คนที่ยังมีสิ่งที่ต้องเสียใจค้างอยู่"

เธอจบการพูดของเธอด้วยการร้องเพลง "The Rose" อย่างกล้าหาญ และเธอได้แนะให้พวกเราทุกคนศึกษาเนื่้อร้องของเพลงนั้น และเอาความหมายเหล่านั้นมาใช้กับชีวิตประจำวันของพวกเรา

เมื่อสิ้นปีการศึกษา โรสได้รับปริญญาที่เธอได้เริ่มฝันไว้เมื่อนนานมาแล้ว

หนึ่งสัปดาห์หลังจบการศึกษา โรสจากไปอย่างสงบ
เธอนอนหลับไปและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย



นักศึกษากว่าสองพันคนไปร่วมพิธีศพของเธอ เพื่อแสดงความเคารพต่อหญิงชราผู้วิเศษ ผู้ได้สอนให้พวกเขาได้รู้ด้วยการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า...... ไม่มีคำว่าสายเกินไป ที่จะเป็นทุกสิ่งที่คุณสามารถเป็นได้

เมื่อคุณอ่านเรื่องนี้จบลง กรุณาส่งคำแนะนำอันดีเยี่ยมนี้ต่อให้กับเพื่อนและครอบครัวของคุณ พวกเขาคงจะชอบมัน

เรื่องราวเหล่านี้ส่งต่อกันมาเพื่อระลึกถึงหญิงชราที่ชื่อ โรส

จงจำไว้ว่า
"การแก่ขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การเติบโตขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้ เราอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ แต่เราจะมีชีวิตอยู่เพราะสิ่งที่เราให้ไป"

มีนิทานเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง




มีพระรูปหนึ่งออกบิณฑบาตรผ่านบนสะพานข้ามแม่น้ำใหญ่

พระรูปนั้นเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้บนราวสะพานและกำลังจะกระโดด
ลงไปใน น้ำที่เชี่ยวกราก

พระสงฆ์รูปนั้นเดินไปแล้วถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแห่งความเมตตาว่า

"สีกา....ทำไมสีกาจึงคิดสั้นเล่า"

ผู้หญิงคนนั้นกลั้นสะอื้นแล้วจึงตอบว่า

"เพราะดิฉันโดนผู้ชายคนหนึ่งที่ดิฉันรักมากที่สุด บอกเลิกเจ้าค่ะ พระคุณเจ้า"

พระสงฆ์รูปนั้นยืนสงบนิ่งเพียงครู่แล้วกล่าวอย่างช้าๆว่า ...

"สีกา....จงดีใจที่สีกาสูญเสียคนที่ไม่ได้รักสีกา
แต่โยมคนนั้นควรจะเสียใจ ที่เค้าสูญเสียคนที่รักเขาไป"


จากเว็บ "ปันกันอ่าน"