วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

องค์กรแห่งความสุข (Happy Workplace)

วันนี้ ผมได้หลงเข้าไปอ่านบทความใน http://www.thaihealth.or.th/node/5956 เข้าโดยบังเอิญ เป็นบทความเกี่ยวเนื่องกับ บริษัท NOK ที่มีชื่อเสียงเรื่องการจัดการความรู้ แต่บทความนี้นำเสนอในแง่มุมเกี่ยวกับเรื่อง Happy Workplace ซึ่งทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่เคยคุยกับ น.อ. ประเทือง ไวยนันทา รอง หน.ฝ่ายอำนวยการฯ ว่า เรื่อง Happy Workplace นี่กำลังจะเข้ามาในหน่วยของเราอีกแล้ว เป็น "งานเข้า" อีกเรื่องหนึ่ง แม้จะดูว่าเป็นงานเพิ่ม แต่ผมก็เห็นว่าเรื่องนี้มันมีประโยชน์ต่อองค์กรและคุณภาพชีวิตของกำลังพลอยู่มาก เลยคิดว่าน่าจะคัดลอกบทความนี้มาให้อ่านกันเพื่อเป็นการทำความเข้าใจกันก่อน

NOK องค์กรแห่งความสุข


สุขภาพใจเรื่องเด่น


สร้าง Happy Workplace ด้วย ความสุข 8 ประการ


ความสุขของคนทำงานเป็นส่วนหนึ่งที่ชี้วัดความสำเร็จของสถานประกอบการจริงหรือ มาร่วมกันหาคำตอบจากสถานประกอบการที่ประสบความสำเร็จที่มีวิธีการสร้างความสุขให้กับพนักงานโดยใช้กิจกรรมที่เรียกว่า Happy Workplace หรือองค์กรแห่งความสุข


ความเจริญก้าวหน้า ยั่งยืนและมั่นคง เป็นปัจจัยสำคัญที่องค์กรต้องใส่ใจและมุ่งมั่นพัฒนา ก่อนหน้านี้บริษัท NOK เคยเป็นต้นไม้เล็ก ๆ ที่เติบโตอย่างช้า ๆ มีพนักงานประมาณ 200 กว่าคน ถึงบัดนี้องค์กรได้เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่มีพนักงานมากกว่าพัน คน ยอดขายสองพันกว่าล้านบาทแต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ต้องใช้ระยะเวลาหลายปี มีความอดทนในการสร้างคนให้เป็นคนเก่งและคนดี ซึ่งบริษัทฯ ถือเป็นเรื่องสำคัญพอกับการสร้างคุณภาพในสินค้าเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ NOK จึงพยายามสร้างความสุขให้แก่พนักงาน เพราะเล็งเห็นว่าเมื่อคนมีความสุข ย่อมสามารถทำงานได้อย่างมีคุณภาพ


Happy Workplace คือการสร้างความดีและความสุขให้เกิดในที่ทำงาน โดยใช้ Happy 8 (ความสุข 8 ประการ) มาใช้ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้


1. Happy Body ส่งเสริมให้พนักงานออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้พนักงานมีร่างกายแข็งแรง จิตใจแจ่มใสเบิกบาน บริษัทจึงได้จัดสร้างศูนย์กีฬาเพื่อเป็นศูนย์กลางของการออกกำลังกาย และยังได้จัดงานกีฬาสีประจำปีช่วงเดือนธันวาคม เพื่อสร้างความสมานฉันท์ในหมู่พนักงาน


2. Happy Heart กิจกรรมส่งเสริมความมีน้ำใจ เอื้ออาทรต่อกันในที่ทำงาน เช่น การมีเจ้าหน้าที่แรงงานสัมพันธ์ไปเยี่ยมไข้พนักงานที่เจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล หรือการที่ผู้บริหารมอบกระเช้าของขวัญสำหรับคุณแม่ให้พนักงานหญิงที่ลาคลอด อีกทั้งยังเผื่อแผ่ความสุขไปยังเพื่อนมนุษย์โดยให้โรงพยาบาลในพื้นที่ใกล้เคียงเข้ามารับบริจาคโลหิตจาพนักงานเพื่อช่วยเหลือ ผู้ป่วยตามโรงพยาบาลเป็นประจำ เมื่อถึงช่วงสงกรานต์ บริษัทได้จัดพิธีรดน้ำพระและรดน้ำดำหัวผู้บริหารเพื่อเป็นศิริมงคลแก่พนักงาน และอีกหนึ่งเทศกาลที่เป็นสีสัน คือ วันวาเลนไทน์ ที่ผู้บริหารจะเข้าแถวต้อนรับพนักงานอยู่ที่หน้าประตู Line การผลิต เพื่อมอบดอกกุหลาบให้กับพนักงานทุกคนในตอนพักทานข้าวเที่ยง


3. Happy Society กิจกรรมช่วยเหลือสังคมรอบข้าง เพราะหากสังคมรอบข้างดี องค์กรที่อยู่ในสังคมนั้นก็มีความสุขไปด้วย NOK จึงได้จัดกิจกรรม เช่น การบริจาคสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นให้กับหน่วยงานราชการในชุมชน หรือการร่วมมือกับบริษัทต่าง ๆ ในนิคมฯ จัดงานเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กนักเรียนในเขต ต.บางกระสั้น เนื่องในงานวันเด็กแห่งชาติ


4. Happy Relax เป็นกิจกรรมสร้างความสนุกสนานผ่อนคลายความเมื่อยล้าและความเครียดจากการทำงานช่วยให้พนักงานมีขวัญและกำลังใจที่ดี และมีโอกาส รู้จักกันมากขึ้น โดยทางบริษัทฯ จัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่นการประกวดร้องเพลงหรรษาคาราโอเกะ กิจกรรมท่องเที่ยวประจำปีงานวันปีใหม่ และยังได้จัดพื้นที่สำหรับกิจกรรมสันทนาการ เช่น ห้องคาราโอเกะและห้องซ้อมดนตรี ให้พนักงานได้ใช้ในเวลาพักอีกด้วย


5. Happy Brain กิจกรรมส่งเสริมทักษะ เพิ่มพูนความรู้ให้กับพนักงาน โดยจัดให้มีห้องสมุดซึ่งมีทั้งหนังสือ สื่อวีดิทัศน์ และอินเทอร์เน็ตไว้บริการ อีกทั้งยังจัดทำ website ภายใน เรียกว่า KM Website เพื่อให้พนักงานสามารถสืบค้นเชื่อมต่อไปยังลิงค์ความรู้ต่าง ๆ ผ่านระบบ Internet ของบริษัทอย่างสะดวกง่ายดาย


6. Happy Soul จัดกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมให้กับพนักงาน เช่น การทำบุญตักบาตรทุกเดือน โดยนิมนต์พระสงฆ์จากวัดใกล้เคียงมารับบิณฑบาตจากพนักงานที่เกิดในเดือนนั้น และยังได้จัดสร้างห้องสวดมนต์ นั่งสมาธิไว้ให้พนักงานได้ปฏิบัติศาสนกิจ เพื่อให้เกิดความสงบสุขทางจิตใจ


7. Happy Money เป็นกิจกรรมรณรงค์ให้พนักงานใช้จ่ายอย่างประหยัด เช่น รณรงค์การออม โดยใช้เงิน 3 ส่วน ออม 1 ส่วน, การจำหน่ายผักปลอดสารพิษในราคาถูก, อนุญาตให้พนักงานนำน้ำดื่มของบริษัทฯ กลับไปดื่มที่บ้านได้ และการจัดตลาดนัดจำหน่ายสินค้าราคาถูก


8. Happy Family จัดกิจกรรมสร้างความรักความผูกพันในครอบครัวและสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างครอบครัวพนักงานกับองค์กร เช่น จัดกิจกรรมประกวดเรียงความพระคุณของพ่อและแม่ในวันพ่อและวันแม่แห่งชาติ จัดทำโปสการ์ดให้พนักงานได้เขียนข้อความแสดงความกตัญญู ส่งถึงพ่อกับแม่ในต่างจังหวัด และยังมีการประกวดภาพ Happy Family อีกด้วย


นอกจาก Happy ทั้ง 8 ประการที่กล่าวมา การมีส่วนร่วมของพนักงานก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะ NOK เล็งเห็นแล้วว่าทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งที่มีคุณค่า พนักงานหลายคนมีศักยภาพและความสามารถ หากเราเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงความคิดเห็น ได้ลงมือทำ ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานด้วยตนเอง องค์กรจะพัฒนาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว พนักงานเองก็รู้สึกภาคภูมิใจว่าเขาเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า เป็นคนที่หัวหน้าและเพื่อนร่วมงานยอมรับ


และเนื่องจากเราต้องการสร้าง NOK ให้เป็นบ้านหลังที่สอง ดังนั้นบริษัทฯ จึงจัดให้มีสวัสดิการสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับพนักงานอย่างทั่วถึง เช่น บริการรถรับส่งปรับอากาศ, สวัสดิการค่าอาหาร, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, เงินกู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัย, ประกันสุขภาพหมู่, ทุนเรียนดีสำหรับบุตรหลานของพนักงาน, การตรวจสุขภาพประจำปี, บริการห้องพยาบาลตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น


เห็นตัวอย่างดี ๆ อย่างนี้แล้ว อย่ารอช้าครับ ลองนำ Happy Workplace ไปประยุกต์ใช้กับองค์กรของท่าน ผมรับรองได้ว่า บริษัทฯ จะ Happy พนักงานก็ Happy ด้วยเช่นกัน


ที่มา : จดหมายข่าวชุมชนคนรักสุขภาพฉบับสร้างสุข ฉบับที่ 84 กันยายน 2551

เรื่อง Happy Workplace นี้ ผมเคยพูดคุยกับกำลังพลหน้าแถวเช้าวันศุกร์ว่า การที่จะวัดว่าเราเองอยู่ในองค์กรที่มีความสุขหรือไม่นั้น ให้ลองตรวจดูความรู้สึกของเราในตอนเช้าวันจันทร์ว่า เรามีความกังวล เบื่อหน่ายหรือทุกข์ใจที่จะต้องกลับมาทำงานหลังจากได้หยุดพักผ่อนในช่วงเสาร์ - อาทิตย์หรือไม่ ถ้าเรารู้สึกถึงความกระฉับกระเฉงหรือพลังที่เต็มเปี่ยม พร้อมที่จะกลับมาทำงานได้เมื่อไรแล้วละก็ นั่นก็น่าจะเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งว่า รร.พธ.ฯ ของเราอาจจะอยู่ในวิถีแห่งการก้าวไปเป็นองค์กรแห่งความสุขแล้ว แต่ถ้ายังไม่เป็นเช่นนั้น เราก็น่าจะตั้งความหวังและตั้งใจที่จะร่วมกันทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นในหน่วยงานของเรา เพราะในช่วงชีวิตสั้นๆ ของแต่ละคนนั้น แม้เราจะอยู่ที่บ้านนานกว่าที่ทำงาน แต่เราก็ลืมตาใช้ชีวิตส่วนมากอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ

วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553

เสื้อเหลือง vs เสื้อแดง

โอยย...เดือนเมษายนปีนี้ อุณหภูมิร้อนแรงไม่แพ้ปีที่แล้ว



นี่... พี่เสื้อแดงเขามากันเต็มถนนไปหมด




โน่น....พี่เสื้อเหลืองก็มาด้วย
เอาละซี

น่ากัว จัง
ปะทะกันแน่ เลือดสาดดด ชัวร์ !


 
อ้าว !
.
.
.
.
.

ไชโย้...  เหลือง-แดง สมานฉันท์กันได้แล้ว

(ขอขอบคุณ ภาพจาก http://www.oknation.net/blog/redribbons07 )


clap

ถ้าได้อย่างนี้ คนดูก็ชอบใจ
ประเทศไทยจงเจริญ

(ดูกันแก้เครียด หวังว่าคงช่วยลดอุณหภูมิการเมืองลงได้บ้างนะครับ)

วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553

แฟนซีดริล นรจ.พธ. : Mission Impossible

พวกเราทหารเรือคงเคยเห็นการแสดงแฟนซีดริลของโรงเรียนนายเรือ รร.ชุมพลฯ หรือ นย.กันมาบ้างแล้ว แต่ใครบ้างจะคิดว่า รร.พธ.ฯ ของเราก็เคยมีการแสดงแฟนซีดริลประกอบอาวุธปืนกับเขาด้วยเหมือนกัน

ในการจัดงานสถาปนาโรงเรียนประจำปี 52 รร.พธ.ฯ มีนโยบายให้นักเรียนแต่ละหลักสูตรจัดการแสดงเข้าร่วมแสดงบนเวทีในงานเลี้่ยงตอนเย็น ซึ่งในส่วนของนักเรียนพลมักไม่ค่อยมีปัญหา เพราะมีเป็นร้อยๆ คน และบางคนก็มีอาชีพทางนี้มาบ้าง การแสดงส่วนมากก็มักเป็นการร้องเพลง ไม่ก็เต้นพวกแร็ป หรือบีบอยอะไรเทือกนั้น และที่พบเห็นบ่อยๆ คือการแสดงของเหล่า "นางฟ้า" ซึ่งก็สร้างสีสรรได้พอควร แต่สำหรับ นรจ. ซึ่งในแต่ละรุ่น มีไม่ถึง 30 คนแล้ว เวลาจะให้แสดงอะไร ดูจะเป็นเรื่องใหญ่เสมอ ซึ่ง นรจ.ในปีนี้ตัดสินใจเลือกที่จะแสดงแฟนซีดริล

เวลาของการฝึกซ้อมของการแสดงต่างๆ ได้ผ่านไปจนใกล้จะถึงกำหนด แต่ก่อนที่จะถึงวันคล้ายวันสถาปนา รร.พธ.ฯ (26 มิ.ย. 52) 4 วัน นรจ.สรณัฐ อำนวยทรัพย์ หัวหน้าแฟนซีดริลได้เดินเข้ามาหาผมแล้วบอกว่า "รองฯ ครับ ช่วยกรุณาฝึกแฟนซีดริลให้พวกผมสักหน่อย ได้ไหมครับ" ประโยคนี้ สร้างความงุนงงให้ผมและกลายเป็นที่มาของเรื่องนี้ครับ

ต่อไปนี้เป็นการจำลองบทสนทนา

ผม : ฝึกไปถึงไหนแล้วล่ะ
สรณัฐ : ฝึกเฉพาะท่ามือเปล่าครับ ระยะเวลาที่ได้มันแค่ 3 - 4 นาทีเอง อยากให้ รองฯ ช่วยฝึกท่าอาวุธให้ด้วยจะได้ยืดเวลาเป็นสัก 8 - 10 นาที
ผม : แล้วท่าอาวุธฝึกไปถึงไหนล่ะ
สรณัฐ :ยังไม่ได้ฝึกเลยครับ
ผม : หา ! (นึกในใจ : เวงกำ อะไรวะเนี่ย อีก 4 วัน จะแสดงเนี่ยนะ นี่มัน Mission Impossible ชัดๆ)เฮ้ย มันคงไม่ทันแล้วล่ะ อาจจะต้องงดหรือไปหาโชว์อื่นมาแทนแล้ว
สรณัฐ : พวกผมอยากจะลองดูอ่ะครับ ไหนๆ ก็ซ้อมกันมาบ้างแล้ว
ผม : เฮ้อ ! (นึกในใจ : ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกเด็กเล้ย)เอ้า ! อยากลองดูก็ได้ แต่คงต้องหาแผนสำรองเตรียมไว้บ้างนะ

เย็นวันนั้น หลัง นรจ.เลิกฝึกหัดศึกษา ผมก็ได้ตัดสินใจที่จะยกเลิกการแสดง และคิดว่าจะบอกกับพวก นรจ.อย่างไรดี พอทราบว่า นรจ.ได้นัดไปรวมตัวกันอยู่บนห้องเรียนชั้น 3 ผมก็ตามขึ้นไปแอบดู

ภาพที่ปรากฏต่อหน้าก็คือ กลุ่ม นรจ.ทั้งชั้น กำลังหน้าดำคร่ำเครียดจ้องมองจอคอมพิวเตอร์กันอย่างตาไม่กระพริบ เมื่อเหลียวไปมองภาพในจอ ก็เห็นว่าเป็นวีดีโอจาก youtube ซึ่งเป็นการแสดงแฟนซีดริลของทหาร นย.อเมริกัน (Silent drill) นรจ.กลุ่มนี้กำลังช่วยกันพยายาม "แกะ" ท่าอาวุธต่างๆ นั่นเอง

ภาพที่เห็นนี้ทำให้ผมเกิดความประทับใจและไม่สามารถจะบอกยกเลิกการแสดงของพวกเขาได้ เพราะผมไม่เคยเห็นคราวใดที่ นรจ.จะร่วมแรงร่วมใจและสามัคคีกันขนาดนี้มาก่อน ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นตอนนี้ พวกเขาสามารถรวมตัวและพยายามช่วยกันทำงานได้ ไม่เว้นแม้แต่พวก "ตัวแสบ" ประจำรุ่น

ผมเริ่มที่จะเปลี่ยนความคิด พร้อมกับนึกในใจว่า "เอาวะ มันก็แค่การแสดงชุดหนึ่ง ถึงจะออกมาไม่ดีหรือห่วยอย่างไร เดี๋ยวคนเขาก็ลืม แต่โอกาสดีๆ ที่ นรจ.รุ่นนี้จะได้เรียนรู้จากชีวิตจริงด้วยการทำกิจกรรมแบบนี้ หาไม่ได้ง่ายๆ"

ถ้าขืนผมปล่อยให้ นรจ.กลุ่มนี้ มัวแต่แกะท่าการแสดงอยู่ ชาติหน้าตอนบ่ายๆ ก็ไม่รู้ว่าจะได้ดูไหม ก็เลยเข้าไปหาแล้วบอกว่าจะสอนท่าอาวุธให้สัก 8 - 10 ท่า แล้วให้เอาไปออกแบบCombination ให้เป็นชุดการแสดงเอาเอง เย็นนั้น เราไปฝึกกันบนลานดาดฟ้าชั้น 3 ผมสอนไป ก็นึกท่าการแสดงสมัยที่เป็นนักเรียนนายเรือไป จำได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะมันก็ประมาณ 25 -26 ปี มาแล้ว จนกระทั่งใกล้จะมืด การฝึกจึงต้องเลิกไปโดยปริยาย

ผมประเมินการฝึกของ นรจ.กลุ่มนี้ แล้วเห็นว่า ตั้งใจฝึกกันพอสมควร แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววเลย ท่าอาวุธ ไร้ซึ่งความ "คม" ความเฉียบขาด แนวปืนไปคนละทิศละทาง แต่อย่างน้อย มันก็ใกล้ความจริงขึ้นกว่าเดิมเยอะ

รุ่งขึ้น ตอนเช้า ผมขับรถเข้ามาใน รร.พธ.ฯ ก็เห็น ร.ท.ภาณุพงศ์ กิมาคม นายกราบแผนกปกครองฯ กำลังคุม นรจ.กลุ่มนี้ซ้อมแฟนซีดริลอยู่ โดยมี นรจ.คนหนึ่งตีกลองแต๊กให้จังหวะอยู่ด้วย สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือ นรจ.กลุ่มนี้ สามารถสร้างชุดการแสดงออกมาได้เป็นรูปเป็นร่างอย่างน่าแปลกใจ จนผมต้องหยุดรถดู ทราบภายหลังว่า เมื่อวาน พวกเขาได้ซ้อมต่อกันอีกในตอนกลางคืน

ผมได้ช่วยเข้ามาปรับแต่งการแสดงให้อีกบ้างเล็กน้อย ซึ่งแนวคิดส่วนใหญ่เป็นของ นรจ.เอง และโดยการสนับสนุนอุปกรณ์การแสดงบางส่วนจาก น.อ. เจน จำปาทอง ผอ.รร.พธ.ฯ (ขณะนั้น) ก็ทำให้การแสดงนี้มีความเป็นไปได้มากขึ้นทีเดียว ส่วนคนอื่นๆ ก็เอาใจช่วยกันทั้งโรงเรียน (ว่าจะไปรอดไหมเนี่ย)

ก่อนวันการแสดง 1 วัน ประมาณ 2 ทุ่ม ผมเดินลงมาจากห้องทำงานจะกลับบ้าน ก็เห็น นรจ.เพิ่งรับประทานอาหารเสร็จ และพบ หน.นรจ.ได้เดินแบกปืนสวนกับผมมาจึงได้สนทนากันสั้นๆ

ผม : ยังไม่เลิกซ้อมอีกหรือ ขยันจริงๆ นะ
หน.นรจ. : ครับ พวกเราตั้งใจกันครับ ถ้าจะซ้อมแล้วต้องซ้อมให้ดี

หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของ หน.นรจ.แล้่ว ผมรู้สึกชื่นชมทัศนคติของ นรจ.รุ่นนี้มาก รร.พธ.ฯ ไม่ได้ไปบังคับให้พวกเขาซ้อมแต่อย่างใด พวกเขาสมัครใจกันเอง และต้องการทำสิ่งนี้ให้ดีทีสุดเท่าที่เขาจะทำได้ (พวกผมตอนเด็กๆ ซะอีกที่ต้องโดนรุ่นพี่บังคับให้ซ้อมแฟนซีดริล)

ถึงวันที่จะแสดง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า นรจ.ตื่นเต้นกันมาก ทันทีที่เสียงประกาศแจ้งการแสดงจบลง สายตาของทุกคนในงาน ทั้งคนของ รร.พธ.ฯ เองและบรรดาศิษย์เก่า ก็จับจ้องไปบนเวทีอย่างเอาใจช่วย นรจ.ค่อยๆ เดินขึ้นบนเวทีในชุ่ดเนวี่บลู (ชุดกันหนาว)เมื่อประกอบกับแสงไฟทำให้ดูดีขึ้นมาก




การแสดงช่วงแรกเป็นท่ามือเปล่า ดูไม่ค่อยเหมือนทหารสักเท่าไร แต่ก็เรียกเสียงกรี๊ดได้เกรียวกราวจากบรรดาผู้ชม โดยเฉพาะสาวๆ แดนเซอร์ และแน่นอน "นางฟ้า" ของเรา เธอๆ ต่างก็ใช้กล้องมือถือถ่ายวีดีโอเก็บกันเอาไว้

ช่วงที่ 2 เป็นท่าอาวุธ มีหมู่ธงประกอบด้วย ยิ่งเรียกเสียงปรบมือและเสียงฮือฮาได้มากกว่าเดิม แม้ว่าการเดินแถวและแปรขบวนจะยืดยาดพอดู แต่ก็ไม่ได้สร้างความรำคาญให้คนดูสักเท่าใด


เนื่องจากเวลาซ้อมมีน้อย ถ้าจะแสดงให้พร้อมกัน คงยาก นรจ.ก็รู้จุดอ่อนข้อนี้ดี จึงปรับมาใช้การแสดงท่า "ใบไม้่ร่วง" (แสดงทีละคนต่อเนื่องเหมือนลูกคลื่นหรือใบไม่ร่วง)การแสดงก็นับว่ายังมีจุดบกพร่องอยู่บ้างพอสมควร แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเล่นแฟนซีดริลมาก่อนก็คงมองไม่ค่อยเห็น ซึ่งก็นับว่าการแสดงครั้งที่ประสบผลสำเร็จที่ทำให้ผู้ชมประทับใจและพอใจได้เป็นอย่างดี สิ่งที่ยืนยันได้ก็คือ เสียงที่ผมได้ยินจากรุ่นพี่ นรจ.เมืื่อปีที่แล้วซึ่งกล่าวชื่่นชมด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า "เฮ้ย มันแสดงดี เจ๋งกว่ารุ่นเราอีกว่ะ" (เป็นเพียงทัศนะคติของบุคคลคนหนึ่ง - นรจ.ปีก่อนแสดงการยิงปืนเฉียบพลัน)

ถ้าจะว่าไปผมอยากจะออกความเห็นว่า การแสดงแฟนซีดริลชุดนี้ อาจเป็นแฟนซีดริลที่แย่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา แต่สำหรับเวลาการซ้อมเพียงแค่ 4 วัน ผมก็อยากจะบอกเหมือนกันว่า การแสดงแฟนซีดริลครั้งนี้ เป็นครั้งที่ผมประทับใจที่สุดครั้งหนึ่ง เพราะด้วยความอดทน ความสามัคคีและทัศนคติที่ดี ได้ช่วยให้ นรจ.เหล่านี้่ฝ่าฟันข้อจำกัด ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ จนประสบความสำเร็จได้ในที่สุด และได้ทำในสิ่งที่หลายๆ คนอาจคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้่ ให้เป็นไปได้

แม้ว่าสิ่งนี้จะเป็นเพียงกิจกรรมเล็กๆ ที่อาจไม่มีความหมายใดๆ สำหรับบางคน แต่สำหรับ นรจ.กลุ่มนี้ ผมเชื่อว่า พวกเขาคงจะได้เรียนรู้อะไรกันไปบ้าง ซึ่งแต่ละคนก็คงแตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาคงจะได้เรียนรู้ร่วมกันก็คือ หากเราร่วมแรงร่วมใจกันทำอะไรแล้ว สิ่งที่ว่ายากยิ่ง ก็จะสำเร็จได้โดยไม่ยากนัก

ถ้าผมรู้อย่างนี้แล้ว ตอนนั้นผมสั่งให้พวกเขายกเลิกการแสดง ผมคงนึกเสียดายโอกาสที่จะได้เล่าความรู้สึกดีๆ อย่างนี้ให้พวกเราฟังมากเลยทีเดียว

ผมจีงขอบันทึกเรื่องราวนี้เอาไว้ให้ชาว รร.พธ.ฯ ไ้ด้อ่านกันใน "บันทึกบ้านสีเขียว" นะครับ