วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คุณค่าและความสุขของการมีชีวิตเพื่อผู้อื่น

          ผมได้ร้บฟอร์เวิร์ดเมล์มาฉบับหนึ่ง และได้เก็บไว้นานมาแล้ว เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก ความผูกพันและความเสียสละของพี่น้องคู่หนึ่ง ซึ่งน่าประทับใจมาก และอยากแนะนำให้ได้อ่านกัน เพื่อที่จะได้รับรู้ว่า ในชีวิตของคนเรานั้น ยังมีแง่มุมที่สวยงามและน่าชื่นชม ควรที่จะนำมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตที่ดีงามของเราได้

          ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่า! หันหน้าเข้าหากำแพง โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

'ใครขโมยเงินไป' พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า 'ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ' พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า

'ผมขโมยเองครับ'

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน
' ของคนในบ้านแกเองแกยังขโมยได้ ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย'

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า' พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว'ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ.

หลายปีผ่านไป แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียนม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้นพ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

'ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ'

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆพ่อ ได้พูดว่า

'แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน'

ทันใดนั้นน้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

'ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว'

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

'ทำไมถึงคิดโง่ๆอย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้'

คืนนั้นทั้งคืนพ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเ งิน
ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า

'ต้องให้น้องได้เรียนต่อ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้'

แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ ใครจะรู้ได้ .......
วันต่อมาในตอนเช้ามืด น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ

'พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆนะ....ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่'

ฉันนั่งอยู่บนเตียง อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ....... ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี

.....


ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงาน เป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้

จนถึงปี 3 วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า

'มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ'

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ??? ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง

ฉันถามเขาว่า

'ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ'

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆว่า

'ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...

ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี'

ฉันค่อยๆเอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ

'พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม'

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ เขาติดกิ๊บให้ฉัน

แล้วพูดว่า

'ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน

ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง'

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

ตอนนั้นน้องของฉัน อายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี

......

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก ฉันสังเกตเห็นว่า หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

'แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก

เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ'

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า

'แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ'

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็น บาดแผลบนมือ ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด

'เจ็บมากไหม' ฉันถาม

'ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ........'

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด เพราะฉันหันหน้าหนีเขา น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

'เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ'

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...


หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน... แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง

แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป...

เขาบอกกับฉันว่า

'พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง'

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

'ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!! ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้

ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง'

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา

'พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขย เพิ่งจะได้เป็นประธาน ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด'

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....

ฉันบอกกับน้องว่า

'แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...'

'ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ'

น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

'ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้'

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล

'พี่สาวของผมครับ' .....

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

'ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม. เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ


.......นับจากวันนั้น ผมสาบานกับตัวเองว่า ตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี และจะทำดีกับเธอ'

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......

'ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด

คือน้องชายของฉันค่ะ'

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้

น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรักและห่วงใยคนที่คุณรัก ในทุกๆวันในชีวิตของคุณและเขา

คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ

แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

..

ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

จบบริบูรณ์....

ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท
ส่วนน้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ
ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า 'ซัมซุง'


และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์

โดยดาราเล็กๆ 2 คนคือ ซอง เฮ เคียว / ลี ดอง ฮุค

บู มิง ฮอง

เล่าเรื่อง

วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ศีรษะนี้ ถวายแด่พระเจ้าแผ่นดิน

     พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตรัสไว้เมื่อครั้งที่หนังสือ พิมพ์ดุสิตสมิต นำโคลงบทนี้ไปตีพิมพ์ เมื่อ พ.ศ. 2461 ว่า

     "นักรบฝรั่งเศสโบราณมีภาษิตอยู่อัน 1 สำหรับเป็นบรรทัดฐานแห่งความประพฤติของเขา เป็นภาษิตที่จับใจข้าพเจ้ายิ่งนัก จึ่งได้นิพนธ์เทียบเป็นคำโคลงภาษาไทยขึ้นไว้ว่า "
มโนมอบพระผู้
สถิตย์อยู่ยอดสวรรค์
แขนถวายให้ทรงธรรม์
พระผ่านเผ้าเจ้าชีวา
ดวงใจให้ขวัญจิต
ยอดชีวิตและมารดา
เกียรติศักดิ์รักของข้า
ชาติชายแท้แก่ตนเอง
มโนมอบพระผู้
เสวยสวรรค์
แขนมอบถวายทรงธรรม์
เทอดหล้า
ดวงใจมอบเมียขวัญ
และแม่
เกียรติศักดิ์รักข้า
มอบไว้แก่ตัว
     "เมื่อแต่งโคลงแล้ว ข้าพเจ้าได้ให้นายช่างชาติอิตาเลี่ยนในกรมศิลปากร ชื่อริโกลี เขียนภาพขึ้นไว้ 4 ภาพ เพื่อประกอบโคลงบทนั้นบาทละภาพ ภาพทั้ง 4 นี้ คณะ "ดุสิตสมิต" ได้ขออนุญาตจำลองลงพิมพ์ใน "ดุสิตสมิต" พร้อมกับโคลง เดือนมกราคม พ.ศ. 2461"



     โคลงบทนี้่ สง่า อารัมภีร และ สุนทรียา ณ เวียงกาญจน์ ได้นำไปประพันธ์เป็นเพลงประกอบละครเวที เรื่อง "เกียรติศักดิ์ทหารเสือ" ซึ่งเป็นละครที่ "อิงอร" ได้ดัดแปลงเนื้อเรื่องมาจากนิยายเรื่องสามทหารเสือ (The Three Musketeers) ของอเล็กซานเดอร์ ดูมาส์ แสดงนำโดย ส. อาสนจินดา, สมพงษ์ พงษ์มิตร, จอก ดอกจันทน์ และหล้งจากนั้น ยังได้มีการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์อีก 2 ครั้ง คือ


   * ภาพยนตร์ เกียรติศักดิ์ทหารเสือ (2508) กำกับโดย ส. อาสนจินดา นำแสดงโดย สมบัติ เมทะนี , ไชยา สุริยัน, ทักษิณ แจ่มผล และ พิศมัย วิไลศักดิ์
   * ภาพยนตร์ เกียรติศักดิ์ทหารเสือ (2526) กำกับโดย ส. อาสนจินดา นำแสดงโดย ทูน หิรัญทรัพย์, โกวิท วัฒนกุล, อนุสรณ์ เตชะปัญญา และ พิศมัย วิไลศักดิ์

ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย

     ในงานประกาศรางวัล นาฎราช ครั้งที่ 1 ซึ่งจัดโดย สมาพันธ์สมาคมวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ที่หอประชุมกองทัพเรือเมื่อไม่กี่วันมานี้ คุณ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ได้รับรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง พระจันทร์สีรุ้ง ทางช่อง 3 คุณ พงษ์พัฒน์ฯ ได้ขึ้นไปกล่าววาทกรรมบางอย่างบนเวที ซึ่งเป็นที่ฮือฮาและซาบซึ่งใจของผู้ร่วมงานมาก จนเป็นที่กล่าวขวัญถึงและมีผู้นำคลิปวีดีโอไปเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตมากมาย


     ผมเองได้ดูแล้ว บรรยายความรู้สึกไม่ถูกครับ รู้แต่ว่าความคิดมันมาจบลงที่โคลงบทนี้ทันที ลองชมดูครับ คุณอาจรู้สึกรักในหลวงมากขึ้นและอาจไม่น้อยกว่าคุณพงษ์พัฒน์ก็เป็นได้

21 Guns : Green Day

     นับแต่จำความได้ ผมก็ได้เห็นความไม่สงบในบ้านในเมืองเรามาแล้วหลายครั้ง ที่จำได้ครั้งแรกตอนเรียนชั้นประุถม ก็ได้รับรู้กับ "วันมหาวิปโยค" 14 ต.ค. 16 ต่อมาก็ 6 ต.ค. 19 ตามด้วย "พฤษภาทมิฬ" และอีกหลายๆ ครั้ง แต่ไม่มีครังไหนที่มันจะน่าสะเทือนใจเท่ากับครั้งนี้ เพราะมันทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่พวกเรากันเองอย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อน

     คนที่ไม่รู้จักกันต้องมาฆ่ากัน ทำร้ายกัน เพียงเพราะเรามีความเชื่อที่ต่างกันเท่านั้นหรือ  หรือว่าเป็นเพียงเพราะผลประโยชน์ที่แต่ละฝ่ายจะได้หรือเสียเราก็พร้อมที่จะเอาความสงบสุขและชีวิตของพี่น้องร่วมชาติมาแลก ถ้าเราได้ผลประโยชน์นั้นมา ลองคิดดูเถิดว่า มันคุ้มกันหรือไม่ และเราจะมีความสุขอยู่กับมันในสภาพบ้านเมืองที่ต้องทะเลาะเบาะแว้งและหวาดระแวงกันเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ไหม

     พวกเราทุกคนคงได้ร่วมกันรับรู้ถึงความทุกข์จากวิกฤติการณ์ครั้งนี้เป็นอย่างดี ผมเองไม่อยากเขียนถึงเรื่องความขัดแยังหรือเรื่องไม่ดีในบล็อกนี้ เพราะผมตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะเขียนแต่เรื่องที่ดีๆ ไว้ให้อ่านเพื่อที่อาจจะใช้เป็นแรงบันดาลใจกันได้บ้าง แต่เมื่อมาคิดอีกที การที่เรายอมรับความจริงว่า มันได้มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา และถ้าเราได้สะท้อนความรู้สึกนึกคิดและความเป็นห่วงออกมาเพื่อให้ผู้คนได้รับรู้บ้าง ก็น่าจะเป็นการบันทึกที่ดีเพราะอย่างน้อย เมื่อเวลาผ่านไป มันก็จะเป็นบทเรียนที่ทำให้คนรุ่นหลังหรือแม้แต่ตัวเราเอง ได้มองย้อนกลับมาเห็นความผิดพลาดบางอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมของเรา

     ผมหวังว่า เมื่ออารมณ์สงบลงและสติปัญญาเกิดขึ้น เราจะได้เรียนรู้จากสิ่งต่างที่เกิดขึ้นโดยปราศจากอคติที่มาครองงำจิตใจ และเราจะได้มาร่วมพิจารณากันอีกครั้งเพื่อนำบทเรียนอันน่าสะเทือนใจนี้มาสอนลูกหลานของเราไม่ให้กระทำซ้ำขึ้นอีกในอนาคต

     คงจะมีคนไทยอีกจำนวนมากที่คิดเหมือนผม แต่เนื่องจาก ภาพหนึ่งภาพแทนคำได้น้บพันคำ แทนที่จะบันทึกเรื่องราวไว้เป็นตัวหนังสือ ผมจึงขอนำวิดีโอที่มีผู้นำเพลง 21 Guns ของ วง Green Day มาประกอบกับภาพในช่วงวิกฤติครั้งนี้มาให้ชมกันในหลายๆ เวอร์ชั่น ชมแล้ว คิดว่าท่านคงรู้สึกเศร้าใจไปกับผมว่า ทำไมคนไทยเรามันบ้ากันได้จริงๆ

21 Guns - Green Day (made for Thailand)



Green Day-21 Guns:War of Thailand.mpg



21 guns Feat.THAILAND



เพื่อชาติ 21Gun For Thailand



We are thai



(คำว่า "21 Guns" หมายถึงการยิงสลุต 21 นัด เพื่อเป็นการให้เกียรติหรือไว้อาลัยแก่บุคคลในโอกาสหรือพิธีการสำคัญ ซึ่งหมายรวมถึงการสลุตให้แก่ผู้ที่เสียชีวิตจากการรบในสงครามด้วย)


     เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้ผมนึกถึงโจ๊กเรื่องหนึ่งที่ไม่ค่อยขำเท่าไร ซึ่งเขาเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีคนสิงคโปร์เดินทางมาเที่ยวเมืองไทย หลังจากที่ไกด์ได้พาเที่ยวสถานที่ต่างๆ จนทั่วแล้ว เพื่อแสดงความสนิทสนมกับลูกค้า ไกดฺ์ได้ชวนพูดคุยโดยถามคำถามยอดฮิตกับนักท่องเที่ยวสิงคโปร์หลายข้อ เช่น อาหารไทยอร่อยไหม ผู้หญิงไทยสวยไหม (ไม่รู้จะถามทำไม) คำตอบก็อย่างที่รู้ๆ จนสุดท้าย เมื่อไกด์อยากทราบความคิดเห็นเพื่อไว้เป็นข้อมูลสำหรับปรับปรุงบริการให้แก่ลูกค้าคนต่อๆไป จึงถามชาวสิงคโปร์คนนั้นว่า คุณคิดว่าเมืองไทยมีอะไรดีบ้าง ชาวสิงคโปร์คนนั้นจึงตอบว่า "เมืองไทยมีดีกว่าสิงคโปร์ทุกอย่าง เสียอย่างเดียว ที่นี่มีคนไทยมากเกินไป"

     เมืองไทยเราถึงจะมีความแตกต่าง เหลื่อมล้ำ มีคนทุกข์ยากอยู่มาก แต่ผมว่าเราก็เคยมีความสุขกันตามอัตภาพ ตามประสาคนไทย อย่างน้อย ก็มากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ถ้าเราคิดจะทำหรือเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นแล้ว ผมเชื่อว่า พวกเรามีดีกว่าที่ชาวสิงคโปร์คนนั้นพูดมากนัก และเชื่อว่าพวกเรามีศักยภาพที่จะช่วยกันฝ่าฟันวิกฤติการณ์ครั้งนี้ไปได้ จากนั้น ผมหวังว่า วันหนึ่งเราจะช่วยกันลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งสร้างความเป็นธรรมและเ่ท่าเทียมกันในสังคมของเราได้ วันนั้น เราคงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่มีเงื่อนไขที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง เหมือนเช่นที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

     แต่หากพวกเราทำไม่ได้ หรือประเทศไทยล้มเหลวแล้ว วันหนึ่่งก็คงมีคนชาติอื่นที่เขาจะเข้ามาแล้วหยามหน้าชาติพันธู์ของเราว่า

     "โง่เหมือนควาย ตีกันเหมือนไก่ตรุษจีน"
            หรือ
     "Stupid Thais"

     และตอนนั้นเราคงต้องนึกถึงเนื้อเพลง "ถามคนไทย" ท่อนหนึ่งที่คุณ สันติ ลุนเผ่ แกได้เคยร้องไว้ว่า

"วิญญาณปู่จะร้อง ไอ้ลูกหลานจัญไร"

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หากเราไม่กลัวความล้มเหลว โลกนี้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว

Harry Potter and the Chamber of Secrets


ผมเชื่อว่าคนในยุคนี้ต้องเคยอ่านหรือดูภาพยนต์ชื่อดังเรื่อง "แฮรี่ พอตเตอร์" ด้วยกันเกือบทุกคน อย่างน้อยก็ต้องเคยได้ยินชื่อนวนิยายเรื่องนี้กันมาบ้าง คนแต่งเรื่องนี้ชื่อ เจ.เค.โรว์ลิ่ง ที่แต่เดิมเป็นเพียงหญิงหม้ายลูกติดที่หย่าร้างกับสามี และมีฐานะที่ยากจนมาก เธอพยายามต่อสู้ชีวิตด้วยความยากลำบาก และผ่านการล้มเหลวมามากมาย หลายต่อหลายครั้ง แต่ภายหลังจากที่เธอเขียนนวนิยายเรื่องนี้แล้ว เธอได้กลับกลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งของโลก ว่ากันว่า รายได้ของเธอนั้นมากกว่าควีนอลิซาเบธของอังกฤษเสียอีก
 

ที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด มีประเพณีอย่างหนึ่งที่ทางมหาวิทยาลัยจะเชิญบุคคลที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จมาปาฐกถาให้บัณฑิตใหม่ฟังในวันรับปริญญาเป็นเวลาประมาณ 20 นาที บุคคลที่ทางมหาวิทยาลัยเคยเชิญมาก็ล้วนมีระดับ เช่น บิล เกตส์ เจ้าพ่อไมโครซอฟท์ หรือ สตีฟ จอบส์ ผู้ก่อตั้งและเป็นตำนานของแอ๊ปเปิ้ล เป็นต้น สำหรับในปี 51 ผู้ที่ได้รับเชิญมาเป็นองค์ปาฐกก็คือ เจ.เค.โรว์ลิ่ง ที่เรากำลังพูดถึงนั่นเอง

Harvard University

ในเวลาเพียงยี่สิบนาทีที่ เจ.เค.โรว์ลิ่ง ได้ปาฐกถาให้บัณฑิตของมหาวิทยาลัยชั้นยอดของโลกฟังในวันนั้น มีตอนหนึ่งที่เธอได้กล่าวว่า

"พวกคุณทุกคนคงไม่มีวันล้มเหลวในระดับที่ดิฉันเคยพบ แต่ความล้มเหลวหลายเรื่องในชีวิตเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงมิได้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีชีวิตอยู่โดยไม่เคยทำผิดพลาดเลยแม้แต่เรื่องเดียว ยกเว้นว่าคุณจะใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังถึงขีดสุด ซึ่งนั่นก็แทบไม่แตกต่างจากการไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่เลย และในกรณีนั้นก็ต้องถือว่าคุณได้ "ล้มเหลว" ไปแล้วโดยปริยาย"

"It is impossible to live without failing at something, unless you live so cautiously that you might as well not have lived at all - in which case, you fail by default"

J.K Rowling


ฟังแล้วต้องเก็บเอามาคิดนะครับ


(เรื่องนี้ เนื้อหาตอนกล่าวปาฐกถาบางส่วน ผมเรียบเรียงมาจากข้อมูลในหนังสือ "อัจฉริยะสร้างสุข" ของ คุณ วนิษา เรษ หากสนใจ ยืมอ่านได้ที่ห้องสมุด รร.พธ.ฯ ครับ)