วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เรื่องเล่าจากหญิงชรา


วันแรกที่พวกเราเริ่มการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น อาจารย์ของเราได้เข้ามาแนะนำตัวและบอกให้พวกเราทำความรู้จักกับคนอื่นๆ ที่เราไม่รู้จักมาก่อน ผมยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ และมีมือๆ หนึ่งเอื้อมมาจับบ่าของผม ผมหันไปพบกับหญิงชราร่างเล็ก ผิวหนังเหี่ยวย่นที่ส่งรอยยิ้มอันเป็นประกายมาให้ผม รอยยิ้มนั้นทำให้เธอดูสดใสอย่างยิ่ง

หญิงชราคนนั้นกล่าวขึ้นว่า
"สวัสดี รูปหล่อ ฉันชื่อโรส อายุแปดสิบเจ็ดแล้ว มาให้ฉันกอดสักทีสิ"



ผมหัวเราะกับท่าทางของเธอ และตอบอย่างร่าเริงว่า
"แน่นอน ไดสิครับ" แล้วเธอก็กอดผมอย่างแรง ผมถามเธอว่า
"ทำไมคุณถึงมาเรียนมหาวิทยาลัยเอาตอนที่อายุน้อยและไร้เดียงสาอย่างนี้ล่ะ.."

เธอตอบด้วยเสียงปนหัวเราะว่า "ฉันมาหาสามีรวยๆ ที่ฉันจะได้แต่งงานด้วย แล้วมีลูกสักสองสามคน.." ผมขัดจังหวะเธอโดยถามว่า "ไม่เอาครับ..ถามจริงๆ " ผมสงสัยจริงๆ ว่า อะไรทำให้เธอมาเรียนที่นี่ตอนที่อายุขนาดนี้ และเธอตอบว่า

"ฉันฝันมานานแล้วว่าฉันจะได้ปริญญา และตอนนี้ ฉันก็กำลังจะได้ปริญญาที่ฉันฝัน"
หลังเลิกเรียนวิชานั้น เราเดินไปที่อาคารสโมสรนักศึกษาด้วยกัน และนั่งกินช็อคโกแลตปั่นด้วยกัน เรากลายเป็นเพื่อนกันในทันที

ตลอดสามเดือนหลังจากนั้น เราจะออกจากชั้นเรียนพร้อมกัน และจะไปนั่งคุยกันไม่หยุด ผมนั้นประหลาดใจเสมอเมื่อได้ฟัง "ยานเวลา" ลำนี้ แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ของเธอให้กับผม

ตลอดปีนั้น โรสได้กลายเป็นสัญญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยของเรา และเธอนั้นจะเป็นเพื่อนได้กับทุกคนในทุกที่ที่เธอไป เธอรักที่จะแต่งตัวดีๆ และดื่มด่ำอยู่กับความสนใจที่นักศึกษาคนอื่นๆ มีให้กับเธอ เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ เมื่อถึงตอนสิ้นสุดภาคการศึกษา เราได้เชิญโรสให้มาพูดที่งานเลี้ยงของทีมฟุตบอลของเรา ผมไม่เคยลืมเลยว่า เธอได้สอนอะไรให้กับเรา... พิธีกรแนะนำตัวเธอ และเธอก็เดินขึ้นมาที่แท่น

ตอนที่เธอกำลังเตรียมตัวที่จะพูดตามที่เธอตั้่งใจนั้น เธอทำการ์ดที่บันทึกเรื่องที่เธอจะพูดตกพื้น เธอทั้งอาย ทั้งประหม่า แต่เธอโน้มตัวเข้าหาไมโครโฟนแล้วบอกว่า


"ขอโทษด้วยนะ ที่ฉันซุ่มซ่าม ฉ้นเลิกกินเบียร์มาต้ังนานแล้ว แต่วิสกี้พวกนี้มันแรงจริงๆ ... ฉันคงจะเอาบทของฉันมาเรียงใหม่ไม่ทันแล้ว งั้นฉันก็คงได้แค่บอกเรื่องที่ฉันรู้ให้กับพวกคุณก็แล้วกัน"

พวกเราทุกคนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ตอนที่เธอเริ่มต้นว่า

"พวกเราทุกคนนั้น ไม่ได้หยุดเล่นเพราะเราแก่หรอก แต่เราแก่เพราะว่าเราหยุดเล่น ที่จริงแล้ว มีเคล็ดลับสู่การที่จะยังหนุ่มสาวอยู่เสมอ มีความสุขและประสบความสำเร็จอยู่ 4 ประการ

1) พวกคุณจะต้องหัวเราะ และมีเรื่องสนุกๆ ขำขันทุกวัน

2) พวกคุณจะต้องมีความฝัน เมื่อไรก็ตามที่คุณสูญเสียความฝันของคุณไป คุณจะตาย มีคนมากมายที่ยังเดินไปเดินมาอยู่ทั้งๆ ที่ตายไปแล้วและไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว..

3) การที่คุณ "แก่ขึ้น" กับ "เติบโตขึ้น" นั้นมันต่างกันมาก ถ้าคุณอายุสิบเก้า แล้วนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ ปีหนึ่ง และไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ตลอดทั้งปี คุณก็จะอายุยี่สิบ ถ้าฉันอายุแปดสิบเจ็ดแล้วนอนเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งปี ฉันก็จะอายุแปดสิบแปด ทุกๆ คนจะแก่ขึ้นทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องอาศัยความสามารถอะไรเลย ประเด็นของการเติบโตขึ้นนั้น อยู่ที่การแสวงหาโอกาสในการเปลี่ยนแปลง

4) อย่าทิ้งอะไรไว้ให้เสียใจภายหลัง คนสูงอายุส่วนใหญ่นั้น ไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว แต่มักจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ คนที่กลัวความตายนั้น มีแต่คนที่ยังมีสิ่งที่ต้องเสียใจค้างอยู่"

เธอจบการพูดของเธอด้วยการร้องเพลง "The Rose" อย่างกล้าหาญ และเธอได้แนะให้พวกเราทุกคนศึกษาเนื่้อร้องของเพลงนั้น และเอาความหมายเหล่านั้นมาใช้กับชีวิตประจำวันของพวกเรา

เมื่อสิ้นปีการศึกษา โรสได้รับปริญญาที่เธอได้เริ่มฝันไว้เมื่อนนานมาแล้ว

หนึ่งสัปดาห์หลังจบการศึกษา โรสจากไปอย่างสงบ
เธอนอนหลับไปและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย



นักศึกษากว่าสองพันคนไปร่วมพิธีศพของเธอ เพื่อแสดงความเคารพต่อหญิงชราผู้วิเศษ ผู้ได้สอนให้พวกเขาได้รู้ด้วยการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า...... ไม่มีคำว่าสายเกินไป ที่จะเป็นทุกสิ่งที่คุณสามารถเป็นได้

เมื่อคุณอ่านเรื่องนี้จบลง กรุณาส่งคำแนะนำอันดีเยี่ยมนี้ต่อให้กับเพื่อนและครอบครัวของคุณ พวกเขาคงจะชอบมัน

เรื่องราวเหล่านี้ส่งต่อกันมาเพื่อระลึกถึงหญิงชราที่ชื่อ โรส

จงจำไว้ว่า
"การแก่ขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การเติบโตขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้ เราอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ แต่เราจะมีชีวิตอยู่เพราะสิ่งที่เราให้ไป"

มีนิทานเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง




มีพระรูปหนึ่งออกบิณฑบาตรผ่านบนสะพานข้ามแม่น้ำใหญ่

พระรูปนั้นเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้บนราวสะพานและกำลังจะกระโดด
ลงไปใน น้ำที่เชี่ยวกราก

พระสงฆ์รูปนั้นเดินไปแล้วถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแห่งความเมตตาว่า

"สีกา....ทำไมสีกาจึงคิดสั้นเล่า"

ผู้หญิงคนนั้นกลั้นสะอื้นแล้วจึงตอบว่า

"เพราะดิฉันโดนผู้ชายคนหนึ่งที่ดิฉันรักมากที่สุด บอกเลิกเจ้าค่ะ พระคุณเจ้า"

พระสงฆ์รูปนั้นยืนสงบนิ่งเพียงครู่แล้วกล่าวอย่างช้าๆว่า ...

"สีกา....จงดีใจที่สีกาสูญเสียคนที่ไม่ได้รักสีกา
แต่โยมคนนั้นควรจะเสียใจ ที่เค้าสูญเสียคนที่รักเขาไป"


จากเว็บ "ปันกันอ่าน"


บุพการี


เวลาไม่มีเงิน ...
คนแรกที่คิดถึงคือ พ่อและแม่
แต่พอมีเงิน ...
คนแรกที่คิดถึงคือแฟนและเพื่อน

อยากได้รถ ...
คนแรกที่คิดถึงคือ พ่อและแม่
แต่พอมีรถ ...
คนแรกที่จะไปรับคือแฟนและเพื่อน


ร้านอาหารหรู ๆ บรรยากาศคลาสสิค ...
มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน
อาหารบนโต๊ะที่บ้าน ... กลับมีสำหรับพ่อและแม่

โรงหนัง ห้างสรรพสินค้า ...
มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน
ทีวี และสวนหน้าบ้าน ...
มีไว้สำหรับพ่อและแม่

พ่อและแม่ คิดบัญชีค่าใช้จ่ายก่อนนอน ...
เพื่อความอยู่รอด
ลูกนอนคุยโทรศัพท์ เล่นเนตก่อนนอน ...
เพื่อให้หลับฝันดี

เวลาเรามีความสุข ...
มักจะมองหาแฟนและเพื่อน
เวลาเรามีความทุกข์ ...
คนที่กังวล หดหู่และเศร้าสลดใจ คือพ่อและแม่

เวลาประสบความสำเร็จ !..
เรามักมองหาแฟนและเพื่อนเพื่อนัดฉลองและสังสรร
แต่คนที่ดีใจที่สุดคือพ่อและแม่ ...

แต่พ่อและแม่ กลับกลายเป็นคนที่เรามองข้ามไป ลูกไปรื่นเริงตามโรงหนัง เธค ผับ โต๊ะสนุ๊ก ฯลฯ ...
พ่อและแม่ตำหนิ ตักเตือน บางครั้ง เต็มไปด้วยอารมณ์ห่วงใย ..เพื่อให้ลูกได้ดี
แต่ลูกคิดว่าสิ่งที่ พ่อและแม่พูด ... เป็นแค่เรื่องไร้สาระ

พ่อและแม่ ... คือผู้ฝ่าฟันปัญหาเป็นร้อยพันประการเพื่อลูก
แต่เมื่อลูกมีปัญหากับแฟน กับการเรียน ... มักคิดได้แค่ ท้อถอย หดหู่หรืออยากตาย!!!!

พ่อและแม่คือผู้ที่ปกป้อง และยืนเคียงข้างลูกจวบจนชีวิตจะหาไม่ ลูกกำลังคิดถึงสิ่งใด ...
คำว่า "พ่อ" หรือ "แม่" อาจเป็นคำแรกที่เราพูดได้ตั้งแต่เกิด
แล้วคุณเตรียมอะไรไว้ เพื่อคุณพ่อคุณแม่ของคุณหรือยัง ?

จากเว็บ "ปันกันอ่าน" http://www.src.ku.ac.th/web/story/481-520/00516.html