วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553

นิทานเซนเรื่อง"รสชาติของเกลือ"

อาจารย์เซนผู้หนึ่งมีศิษย์ที่ชอบร้องทุกข์คร่ำครวญอยู่คนหนึ่ง
และเนื่องจากทัศนะคติที่คับแคบนี้เอง ทำให้ศิษย์ผู้นี้มักจะมีแต่ความทุกข์กังวลจิตใจไม่เป็นสุข
 
วันหนึ่งอาจารย์เซนสั่งให้ศิษย์คนดังกล่าวไปตลาดซื้อเกลือมาถุงหนึ่ง
เมื่อศิษย์กลับมาจึงสั่งให้นำเกลือมาหยิบมือหนึ่ง โปรยลงไปในแก้วบรรจุน้ำ
แล้วให้ศิษย์ดื่มลงไป พลางกล่าวถามว่า 

"รสชาติของน้ำเป็นอย่างไร"
“เค็มจนขม” ศิษย์ตอบด้วยใบหน้าเหยเก

จากนั้น อาจารย์เซนได้พาศิษย์ไปยังริมทะเลสาบ
สั่งให้นำเกลือที่เหลือโปรยลงไปในทะเลสาบจนหมดสิ้น
แล้วกล่าวว่า

“ลองดื่มน้ำจากทะเลสาบดูสิ”
ศิษย์จึงก้มตัวลงไปวักน้ำจากทะเลสาบขึ้นมาดื่ม
 
อาจารย์เซนถามอีกว่า “คราวนี้รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?”
ศิษย์ตอบว่า “รสชาติหวานสะอาด บริสุทธิ์ยิ่ง”

"ยังมีรสเค็มหรือไม่?" อาจารย์ถามต่อ
"ไม่มี" ศิษย์ตอบ

อาจารย์เซนได้ฟังจึงผงกศีรษะเล็กน้อย ยิ้มพลางเอ่ยสืบไปว่า
“ความทุกข์ในชีวิตคนเราก็เป็นดั่งเกลือ มันจะมีรสเค็มหรือรสจืด ล้วนขึ้นอยู่กับภาชนะที่รองรับ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเป็นน้ำหนึ่งแก้ว หรือเป็นลำน้ำสายหนึ่ง”
 
ปัญญาเซน : คนเราหากต้องการใช้ชีวิตบนโลกอย่างมีความสุข ทุกข์น้อย
วิธีการคือต้องลดความทุกข์ เปิดใจให้กว้าง เมตตาต่อตนเอง อดกลั้นต่อผู้อื่น
จึงจะมีชีวิตที่สุขสบาย ดำเนินชีวิตด้วยความเยือกเย็น นิ่งสงบ ไม่เร่งร้อน

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คิดก่อน เมื่อคุณนั่งหลังพวงมาลัย

ทุกครั้งเวลาขับรถ ผมมักจะใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก แต่ถึงจะระวังขนาดนี้แล้ว ผมก็ยังเคยประสบอุบัติเหตุรถชนกันถึง 3- 4 ครั้ง ชนเขาบ้าง เขาชนเราบ้าง ในจำนวนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่มีสาเหตุจากบุคคลอื่นมาประกอบทั้งสิ้น บางครั้งคู่กรณีก็เมาสุราเสียด้วย

ผมว่า ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน ระวังคนเดียวบางทีมันก็ไม่ได้ผล ทุกคนต้องร่วมมือกัน ก็เลยอยากจะเอาวีดีโอนี้มาให้ดูเพื่อเตือนใจ บางภาพอาจสะเืทือนใจอยู่บ้าง ใครใจไม่แข็ง อย่าดูเลยครับ


วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

"The Last 3 Minutes"

       เคยสงสัยไหมครับว่า คนเราเวลาจะตาย เขาจะคิดถึงเรื่องอะัไรบ้าง คงไม่พ้นเรื่องที่เราเป็นห่วง เรื่องที่เราเคยประทับใจหรือเคยทำผิดพลาดมาแล้วไม่มีโอกาสจะแก้ไข

       วันนี้มีวีดีโอมาฝากเรื่อง "The Last 3 Minutes" เป็นเรื่องของชายที่กำลังจะตายแล้วย้อนคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งมีทั้งเรื่องดีและร้าย โดยผู้สร้างเขานำเสนอให้เห็นเหมือนเป็นภาพที่เราฉายหนังย้อนกลับผ่านสายตาและความทรงจำของชายคนนี้่ วีดีโอนี้มีความยาวประมาณ 3 นาที (เหมือนชื่อเรื่องเปี๊ยบเลย) ภาพสวยมาก เสียงก็ค่อนข้างดี


       ดูแล้วผมได้ข้อคิดว่า คนเรานั้น เลือกเหตุ สถานที่ หรือเวลาตายไม่ได้ เราอาจจะไม่โชคดีเหมือนชายคนนี้ที่มีเวลาถึง 3 นาที ในการคิดทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต

       ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาท ในขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ถ้าเราลองมาทบทวนถึงสิ่งที่ได้กระทำไป แล้วนำมาเป็นบทเรียนในการแก้ไขชีวิตให้ดีขึ้น ก็น่าจะเป็นประโยชน์กว่าการที่เราจะรอให้มีเวลาเพียง 3 นาที แล้วค่อยมาคิด ซึ่งก็คงจะสายเกินไปที่จะทำอะไรได้อีกแล้ว หรือที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ คุณอาจไม่มีโอกาสนั้นเลยก็ได้

โชคดีนะ William

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

"ก่อนไม่มีให้กอด" ..เรื่องจริง จากโรงเรียน อัสสัมชัญ

          เนื่องในเดือน ส.ค. ที่กำลังจะมาถึง เป็นเดือนที่มีวันแม่แห่งชาติ เพื่อแสดงความกตัญญูและความเคารพรักต่อแม่ทุกคนในโลก วันนี้ผมจึงขอถือโอกาสนำเรื่องดีๆ เรื่องหนึ่งที่ได้อ่านใน Internet แล้วรู้สึกประทับใจในความรักและเสียสละของแม่ที่มีให้แก่ลูููกมาให้อ่านกัน



เรื่องจริงจาก รร.อัญสัมชัญ

แล้วจะกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่ ......
เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ "มิสอุไรพร"
ครูที่มีจิตวิทยาสูงในการสอนเด็ก

รักใดไหนเล่าเท่ารักแม่...วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่ที่ลูกทุกคนต้องอ่าน!

ตึกเซนต์หลุยส์มารี โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม ราวกลางปี พ.ศ.2539

“มิสคะ ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องรับรองค่ะ”
โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร
ครูสาวประจำระดับชั้นป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เพราะจำได้ว่ามีการโทรนัดหมายจะมาพบจากคุณแม่ท่านหนึ่งเพียงท่านเดียวในวันนี้

เอ...ใครล่ะนี่ จะมีเรื่องอะไรรึเปล่านะ

เมื่อมิสอุไรพรเดินมาถึงหน้าห้องประชาสัมพันธ์
ครูสาวก็แทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน
หากก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว
อย่างไรก็ตามมิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรก
เข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดโดยเก็บงำความแปลกใจไว้
หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จมิสจึงเชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง

ภาพแรกที่ได้เห็นชัดๆทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย
แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่อง การเรียนของลูก
เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปีเมื่อต้นปีการศึกษาที่ผ่านมา

“ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาว่าเขาอายที่แม่ใส่แขนเทียม
กลัวโดนเพื่อนล้อแม่มาทีเพื่อนก็ล้อกันประจำว่าแม่แขนเดียว
แม่เป็นหุ่นยนต์เหรอ อะไรนี่น่ะค่ะ เลยไม่ได้มา”
น้ำเสียงของคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ

มิสอุไรพรขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม

เมื่อได้ทราบความจริงทั้งหมดครูสาวก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องจัดการ
เรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่นี้โดยเร็ว
หากปล่อยเรื่องนี้ไป...ก็จะเป็นบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปในภายหน้า
ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนด้วย

ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก
มิสอุไรพรจึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟังในห้องเรียน
เรื่องราวที่ว่านั้น มีดังต่อไปนี้

วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2536หลังวันแม่เพียงไม่กี่วัน...

ครอบครัวหนึ่งได้เดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูล
ครอบครัวนี้ประกอบด้วยคุณพ่อ คุณแม่ และลูกชายอีกสามคน
พวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคันดิน

ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ
โดยคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน
ส่วนคุณแม่เดินตามหลังมากับลูกชายคนเล็ก




ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำ
ซึ่งมีใบพัดทำจากเหล็กสูงจากคันดินราว 25ซม
คุณพ่อและลูกคนโตสองคนก็ข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า
ไม่มีใครฉุกใจคิดระวังถึงเหตุร้าย

แต่แล้วลูกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง
ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่
และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก

“ถ้าเป็นพวกคุณ น้องตกลงไปอย่างนี้คุณจะทำอย่างไร”

มิสหยุดเรื่องไว้ก่อนเพื่อซักถาม มองหน้าเด็กนักเรียน
ทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะ “ลูกชาย” ของคุณแม่ท่านนั้น

“ทุกคนตกตะลึงใช่มั้ย คิดไม่ทันใช่มั้ย
แต่นักเรียนรู้มั้ยว่าคุณแม่ท่านตัดสินใจทำอย่างไร”

คุณแม่ไม่ยอม เสียเวลาคิดอะไรเลย
ท่านรีบยึดดึงตัวลูกเอาไว้แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดเหล็กไว้ก่อน...
ใบพัดจึงหมุนเอาแขนของคุณแม่เข้าไป...คนงานที่เห็นเหตุการณ์รีบปิดเครื่องทันที
แต่แรงเฉื่อยทำให้ใบพัดยังหมุนต่อด้วยกำลังแรง...
แรงจนกระชากแขนซ้ายของคุณแม ่ขาดสะบั้นลง!

คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันที
ท้องร่องทั่วบริเวณแดงฉานไปด้วยเลือด...เลือดของแม่...

ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็ก
จนกระดูกหัก...แต่ไม่ขาด

ไม่ขาด...เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน...ไม่ขาด...เพราะแม้จะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ
มือขวาของคุณแม่ก็ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น...ไม่ยอมปล่อย...

คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกนเอะอะโวยวายของคนงาน
พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของคุณแม่ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช็อกจนแทบสิ้นสติ!

คุณพ่อกระโจนพรวดเดียวถึงตัวคุณแม่และลูกน้อย แต่...มันสายเกินไปแล้ว!
สิ่งเดียวที่ทำได้คือรีบพาสองแม่ลูกส่งโรงพยาบาลทันที

ผลของการรักษาคือคุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนแขนซ้ายที่ขาดไป
ส่วนลูกคนเล็กที่ขาหักต้องอยู่โรงพยาบาลนานราวสามเดือนจึงสามารถเดินเหินได้เป็นปกติ

มิสอุไรพรกวาดสายตามองไปรอบๆห้องถามขึ้นอีกว่า

“นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญมั้ยคะ”

“กล้าหาญมาก” เด็กๆพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า
หลายๆคนยังหน้าซีดเซียวเมื่อนึกภาพเหตุการณ์ไปตามที่ครูเล่า

มิสมองหน้า “ลูกชาย” ของคุณแม่แล้วบอกต่อว่า

“นักเรียนทราบมั้ยว่าคุณแม่ท่านนี้เป็นคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เองไหน
ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนี้ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ”

เด็กนักเรียนคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนทั้งห้อง

“วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้านมิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่าพวกเราชื่นชม
และยกย่องท่านมากจริงมั้ยพวกเรา”

“จริงครับๆ ใช่ครับๆ” เสียงเล็กๆตอบมาเป็นทางเดียวกัน

“มิสได้ทราบมาว่ามีหลายๆคนไปล้อเลียนเพื่อน ไหน
คนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามีเราเป็นลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ”

มีนักเรียน 3-4 คนยืนขึ้น สีหน้าของแต่ละคนซีดเซียวอย่างสำนึกผิด

มิสอุไรพรมองหน้าของเด็กกลุ่มนี้อย่างอ่อนโยน ถามว่า

“ดีมากนักเรียน ตอนนี้คุณคงอยากพูดอะไรกับเพื่อนใช่มั้ยคะ”

เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอแล้ว กล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ
ครูสาวน้ำตาคลอ ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มยินดีหนักใจอยู่เหมือนกันว่า
หากถามขึ้นมาแล้วไม่มีใครยอมรับว่าเคยล้อเพื่อน...จะทำอย่างไร?

เธอไม่เคยผิดหวังในตัวนักเรียนอัสสัมชัญและจนถึงเวลานี้ก็ยังคงไม่ผิดหวัง
ใครเล่า...จะเข้าใจความเจ็บช้ำขมขื่นในหัวใจเล็กๆของเด็กชายคนหนึ่ง
ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กโดยไม่ทันคิด

หากบัดนี้...ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อนได้สลายปมด้อยในใจ
ของเด็กคนนี้ลงจนสิ้นแล้ว เหลือเพียงความรักและภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น
เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสอุไรพรได้เรียกตัว “ลูกชาย” เข้าไปคุยอีกครั้ง

“วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่มั้ยคะ”

เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นไห้ว่า

“ผม...ผมจะไปขอโทษคุณแม่แล้ว...แล้วบอกคุณแม่ว่าผมรักคุณแม่ที่สุดในโลกเลยครับ”

รู้มั้ยน้ำนมหยดหนึ่งซึ่งไหลมาต้องใช้น้ำตาหยาดเหงื่อสักเท่าไหร่
บอกแม่เถอะนะ บอกทุกวัน ว่ารักท่านมากมาย
กอดแม่เถอะนะ ให้คุ้นเคย กอดเลยไม่ต้องอาย

ก่อนไม่มีแม่ให้กอด...

ไม่ทราบแหล่งที่มาแน่ชัด

วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ระลึกถึงคนที่ให้บริการเสมอ


          ในสมัยที่ไอศครีมซันเดยังมีราคาถูกอยู่มาก เด็กชายอายุสิบขวบคนหนึ่งเข้าไปในคอฟฟี่ชอปของโรงแรมแห่งหนึ่งแล้วนั่งที่โต๊ะ เมื่อพนักงานเสริฟวางแก้วน้ำลงตรงหน้า เด็กชายก็ถามว่า

"ไอศครีมซันเดราคาเท่าใหร่ครับ?" "ห้าสิบเซ็นต์" พนักงานเสริฟสาวตอบ

แล้วเด็กชายก็ดึงมือออกจากกระเป๋า แล้วก็นับเ หรียญในมือ "งั้น ไอศครีมเปล่า ๆ ล่ะครับราคาเท่าใหร่?" เด็กชายถามอีก

ตอนนี้เริ่มมีคนรอโต๊ะมากขึ้นและพนักงานเสริฟสาวก็เริ่มจะหมดความอดทน "สามสิบห้าเซ็นต์" เธอตอบห้วนๆ

เด็กชายนับเหรียญในมืออีกครั้ง "ผมขอไอศครีมเปล่าครับ" เด็กชายบอก แล้วพนักงานเสริฟสาวก็เอา ไอศครีมมาให้ เอาใบเสร็จมาให้แล้วก็เดินหนีไป

เด็กชายทานไอศครีมหมดแล้ว ก็จ่ายเงินแล้วก็จากไปเมื่อพนักงานเสริฟเดินกลับมา เธอก็เริ่มร้องไห้เมื่อเธอเช็ดโต๊ะบนโต๊ะนั้น

มีเหรียญนิกเกิลราคาห้าเซ็นต์สองเหรียญและเหรียญเพนนีอีกห้าเหรียญวางอยู่ อย่างบรรจง ข้างจานเปล่านั้น เห็นไหมว่า เด็กชายไม่ทานไอศครีมซันเด เพราะเขาต้องเหลือเงินไว้ทิปพนักงานเสริฟสาวคนนั้น

ไม่ทราบแหล่งที่มา

เลือกคน-ใช้คนแบบ “ธนินท์ เจียรวนนท์”

          "คนที่จะเป็นผู้บริหารระดับสูงไม่ควรมองที่ จุดด้อยของคนอื่น แล้วมองแต่จุดเด่นของตัวเอง เพราะว่าถ้าพยายามมองจุดด้อยของคนอื่น ก็จะคิดว่าตัวเองเก่งอยู่ทุกครั้งทุกทีไป จึงไม่ได้มีความพยายามปรับตัว เราต้องมองจุดเด่นของคนอื่น แล้วหาทางใช้จุดเด่นของเขาให้เป็นประโยชน์ จึงสามารถทำงานใหญ่ได้"

          เป็นสิ่งที่ "ธนินท์ เจียรวนนท์" มักกล่าวกับผู้บริหารและผู้ร่วมงานในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) อยู่เสมอ


          โดยเขามีหลักการในการบริหารคนและองค์กรที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

          "องค์กรที่ดีต้องประกอบด้วยคน 4 รุ่นคือ รุ่นอายุ 50 ปี รุ่นอายุ 40 ปี รุ่นอายุ 30 ปี และรุ่นอายุหนุ่มสาวที่เพิ่งจบการศึกษา เพราะคนเราต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เก่งอย่างไรก็ต้องมีวันหยุด เมื่อหยุดแล้วจะหาใครมาทดแทน เราต้องมีการสร้างคนอีก 3 รุ่นลงมารองรับไว้ก่อน"

          "ธนินท์" มีเหตุผลว่าธุรกิจจะดำเนินไปได้หรือขยายตัวได้และจะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่คน ทุกอย่างล้วนมาจากคน เงินก็มาจากคน เทคโนโลยีก็มาจากคน

           "ผมถือว่าคนเป็นทรัพยากรสำคัญที่ล้ำค่าอันเป็นหัวใจของทุกองค์กร เราจึงต้องมีคนที่มีความรับผิดชอบสูง มีความมานะพยายาม มีความรู้ความสามาถ และมีความซื่อสัตย์สุจริตอยู่ในองค์กรให้มากๆ จึงจะสามารถนำองค์กรหรือบริษัทไปสู่ความสำเร็จได้"

          หากบริษัทอยากจะเจริญก้าวหน้าอย่างไม่สิ้นสุด ก็ต้องพัฒนาคนไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน ต้องสร้างคนให้มีคุณภาพ เมื่อมีประสิทธิภาพก็เกิดประสิทธิ ผลในการทำงาน ซึ่งสร้างประโยชน์ทั้งต่อบริษัท และสังคม ไม่มีอะไรที่ให้สังคมได้ดีที่สุดเท่ากับการพัฒนาบุคลากรให้มีความสามารถ

           "ธนินท์" ให้ความสำคัญกับคนที่มีความรับผิดชอบสูง มีความอดทนเยี่ยม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความขยันหมั่นเพียรก่อน แม้เขาชอบคนที่เก่งๆ แต่เขากลับเลือก "คนเก่ง" อยู่ในลำดับสุดท้าย

           เหตุผลคือ หาก "คน" มี 4 ประการแรกแล้ว สามารถพัฒนาตัวเองให้เป็นคนเก่งได้

           "มนุษย์เราทุกคนมีความสำเร็จอยู่ในตัวเองทั้งนั้น ชีวิตคนทุกคนต้องมีจุดเด่นที่สามารถนำพาชีวิตไปสู่ความสำเร็จได้ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ อย่าเป็นคนที่เหลิง หลงตัวเองว่าเก่ง เพราะวันนี้เก่ง พรุ่งนี้อาจจะไม่เก่งก็ได้ อาจจะมีคนเก่งกว่าเราก็ได้ และถ้าเราเหลิงจะมีแต่ถอยหลัง อย่าลืมว่าโลกของเรามีแต่จะก้าวไปข้างหน้า"

ผู้บริหารที่จะประสบความสำเร็จนั้น นอกจากตัวเองจะมีความรู้ มีความสามารถในการตัดสินใจอย่างถูกจังหวะ รวมถึงมองการณ์ไกลแล้วยังต้องได้รับความร่วมมือจากพนักงานในระดับปฏิบัติการอย่างเต็มความสามารถ นั่นคือการเป็นเจ้านาย ที่ดีต้องอย่าทำตัวเหมือน "นก" แต่ให้เป็นเหมือน "หนอน"

worm

เพราะการทำตัวเหมือน "นก" ก็มักแต่ชอบบินสูงอยู่บนฟากฟ้า คิดว่าตัวเองเหนือผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งก็อยู่สูงเกินไปจนมองไม่เห็นความเป็นไปบนพื้นดินและการที่ ซี.พี.แตกบริษัทย่อย แบ่งกลุ่มธุรกิจออกไป 9 กลุ่ม เช่น กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม กลุ่มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ กลุ่มธุรกิจเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย และเคมีเกษตร กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ฯลฯ นั้นก็เป็นวิธีการกระจายอำนาจ กระจายหน้าที่ความรับผิดชอบ กระจายความเสี่ยง และการสร้างคน

          "ผมมองคนอื่นว่าเก่งกว่าผมเสมอ ผมไม่เคยมองใครว่าเก่งสู้ผมไม่ได้ สำหรับคนที่ทำงาน กับเรา ผมยึดหลักว่าจะต้องเปิดโอกาสให้เขาแสดงความสามารถ เมื่อใครแสดงความสามารถออกมาเราจะต้องส่งเสริมสนับสนุนเขาให้มีตำแหน่งสูงๆ ขึ้นไป เราต้องพยายามรักษาเขาให้อยู่กับเรานานที่สุด เราจะต้องสร้างคนที่มีความสามารถให้เกิดขึ้นมากๆ"

           นอกจากนี้ "ธนินท์" ยังยึดคติพจน์ "ความล้มเหลวคือแม่ของความสำเร็จ"

          "ผมชอบคนที่ทำงานเสียหายแล้วรู้ว่าเสียหายอย่างไร และผมจะให้โอกาสเขาแก้ตัวใหม่ แต่ถ้าทำเสียหายแล้วบอกว่าทำดีที่สุดแล้ว ทำถูกต้องแล้ว แถมยังโยนความผิดไปให้คนอื่น คนอย่างนี้ผมไม่กล้าใช้ให้ทำงานอีกต่อไป"ยิ่งการจะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น "ธนินท์" มีมุมมองที่น่าสนใจ

          "การที่จะทำอะไรให้สำเร็จ อย่าเพิ่งไปคิดว่า เรามีกำไรเท่าไหร่ เราจะได้ผลประโยชน์อะไร เราน่าจะคิดว่างานชิ้นนี้เรามีโอกาสทำได้ดีที่สุดหรือเปล่า แล้วทำสำเร็จได้หรือไม่ เราจะทำงานชิ้นนี้ให้ดีที่สุด เราต้องทำให้ดีกว่าคนอื่น แล้วความสำเร็จจะตามมา"

เป็นส่วนหนึ่งใน "มุมคิด" เรื่องคนของ "ธนินท์" ซึ่งหยิบมาจากหนังสือ "36 กลยุทธ์ ธนินท์ เจียรวนนท์" เรียบเรียงโดยวิจักษณ์ วรบัณฑิตย์

Story of "Mother" ..เมื่อฉันแก่ตัวลง

“เมื่อฉันแก่ตัวลง”

อยากจะมอบเรื่องนี้ให้กับผู้ที่ไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้าน

เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของลุกผู้ชายคนหนึ่ง
ที่ตระเวนทั้งเรียนทั้งทำงานไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ
แม้เขาจะเติบกล้าเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ ความรู้เพิ่มมากขึ้น
โลกใบนี้เริ่มเล็กลง แต่พ่อแม่ที่อยู่บ้านเดิม(ในเมืองจีน)ก็เริ่มแก่ตัวลง

ลูกคนนี้ทำงานอยู่ต่างประเทศ
ไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมพ่อแม่ ได้แต่ติดต่อกันทางจดหมาย
โชคดีต่อมามีไอพีการ์ด เลยได้คุยสดกันบ้าง
ทุกครั้งแม่ก็จะคอยเตือนให้ระวังสุขภาพของตัวเอง
ตั้งใจทำงาน ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ ไม่ต้องกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ
เพราะจะสิ้นเปลืองเงินทอง... ยิ่งพูดก็ยิ่งซ้ำๆซากๆ

เขารู้ดีว่าแม่เริ่มคิดถึงเขามาก

จนกระทั่งปีนี้
แม่อายุ 75 เขาจึงตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมแม่
โดยตั้งใจว่าจะอยู่สัก 1 เดือน จะไม่ทำอะไรเป็นพิเศษ
แต่ขอเป็นเพื่อนแม่เพียงอย่างเดียว

พอบอกข่าวนี้ให้แม่ทราบ
แม้จะมีเวลาอีกตั้ง 2 เดือนเศษ แม่ก็เริ่มเตรียมตัวในการต้อนรับการกลับมาเยี่ยมบ้านของลูก
แม่ดึงเอาสมุดบันทึกมาจดสิ่งที่ต้องตระเตรียม
แม่เตรียมรายการอาหารที่ลูกชอบ ดึงเอาผ้าห่มที่ลูกเคยชอบห่มมาปะชุนใหม่...

สำหรับคนอายุ 75 เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
พอกลับถึงบ้าน
ตอนอยู่บนเครื่องบิน เคยตั้งใจว่าจะขอกอดแม่ให้ชื่นใจสักครั้ง
แต่พอมาเห็นแม่ แม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผอมแห้ง
หน้าตาเหี่ยวย่น ช่างไม่เหมือนแม่คนก่อนหน้านี้เลย...

แม่ใช้เวลาทั้งชั่วโมงเตรียมอาหารที่ลูกเคยชอบ
โดยที่หาทราบไม่ว่า เดี๋ยวนี้ลูกไม่ได้ชอบอาหารแบบนั้นแล้ว
และเพราะแม่ตาไม่ค่อยดี รสชาติอาหารจึงแย่มากๆ
บางจานก็เค็มจัด บางจานก็จืดสนิท ผ้าห่มที่แม่อุตส่าห์เตรียมให้
ทั้งหนาทั้งหยาบ ไม่สบายกายเลย แม่หารู้ไม่ว่า
เดี๋ยวนี้ลูกนอนห้องแอร์และใช้ผ้าห่มขนแกะแล้ว

แต่เขาก็ไม่บ่นอะไร เพราะเขาตั้งใจจะกลับมาเป็นเพื่อนแม่จริงๆ
สองสามวันแรก แม่ยุ่งอยู่กับเรื่องจิปาถะ
จนไม่มีเวลาพักผ่อน พอเริ่มได้พัก แม่ก็เริ่มพูดมาก
สอนโน่นสอนนี่ พูดแต่ปรัชญาเก่าๆ ซึ่งปรัชญาเหล่านั้น
10กว่าปีก่อนก็เคยพูดแล้ว พอลูกบอกให้ฟังว่า
ปรัชญาเหล่านั้นไม่ทันสมัยแล้ว แม่ก็เริ่มนิ่งเงียบและเศร้าซึม

“เหตุการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ
ผมพบว่าสุขภาพแม่แย่ลง โดยเฉพาะสายตา อาหารบางจานมีแมลงวันด้วย
บางทีอาหารหกบนเตา แม่ก็เก็บใส่จานตามเดิม
ครั้นผมพยายามชวนแม่ไปกินนอกบ้าน แม่ก็บอกอาหารข้างนอกไม่สะอาด
ของแปลกปลอมเยอะ เมื่อผมบอกแม่ว่าจะหาคนรับใช้มาช่วยแม่สักคน
แม่ก็โวยวายว่า แม่เองยังสามารถทำงานเลี้ยงดูเด็กให้ผู้อื่นได้เลย
ผมเลยพูดไม่ออก พอผมจะออกไปช้อปปิ้ง แม่ก็จะตามไปด้วย
ทำเอาวันนั้นทั้งวัน พวกเราไม่ได้ไปช้อปปิ้งเลย...”

“พอพวกเราเริ่มคุยกันในเรื่องทันสมัย
แม่ก็จะหาว่าพวกเราเพี้ยน ผมก็เริ่มบอกแม่อย่างไม่ค่อยเกรงใจว่า
แม่ นี่มันสมัยใหม่แล้ว แม่ต้องหัดมองโลกในแง่ใหม่ๆบ้าง...
ช่วงครึ่งเดือนหลังที่อยู่กับแม่ ผมเริ่มขัดแม่มากขึ้นเรื่อยๆ
และรู้สึกรำคาญเพิ่มมากขึ้น แต่เราไม่เคยทะเลาะกันนะ
พอผมขัดแม่ แม่ก็หยุดกึกลง ไม่พูดไม่จา
ในตามีแววเหม่อลอย – โลกซึมเศร้าแบบคนแก่ของแม่ชักหนักขึ้นเรื่อยๆ”

“ได้เวลาที่ผมจะต้องเดินทางกลับ
แม่ดึงกล่องกระดาษกล่องหนึ่งออกมา ในนั้นเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ที่แม่ตัดเก็บไว้ในช่วงที่ผมไปอยู่เมืองนอก แม่เริ่มสนใจข่าวต่างประเทศเมื่อผมเดินทางไปนอก
ทุกครั้งที่มีข่าวตึงเครียดในประเทศนั้นๆ แม่จะตัดข่าวเก็บไว้ ตั้งใจจะมอบให้ผมตอนที่ผมกลับมา
แม่พูดอยู่เสมอว่า อยู่นอกบ้านนอกเมือง
ต้องระวังตัวให้มากๆ ครั้งหนึ่งมีเรื่องคนญี่ปุ่นต่อต้านและข่มเหงคนจีน
มีการปะทะกันด้วย แม่เป็นห่วงมาก ถามเพื่อนบ้านว่าจะส่งข่าวไปเตือนผมที่ญี่ปุ่นได้อย่างไร
ตอนนั้นผมสอนอยู่ที่ญี่ปุ่น”



แม่ดึงเอาปึกกระดาษข่าวนั้นออกมาอย่างยากลำบาก
วางใส่ในมือผมเหมือนของวิเศษชิ้นหนึ่ง
มันหนักมาก ผมเริ่มรู้สึกลำบากใจ เพราะผมไม่อยากนำกลับไป
Newspaper towerมันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ผมรู้ว่าแม่เก็บมันด้วยความยากลำบาก
แม่สายตาไม่ค่อยดี ต้องใช้แว่นขยาย อ่านได้วันละ
2 หน้าก็เก่งแล้ว นี่ยังตัดเก็บได้ขนาดนี้

ทันใดนั้นมีข่าวแผ่นหนึ่งปลิวหลุดลงมา
แม่รีบเอื้อมไปหยิบ แต่แทนที่แม่จะเก็บเข้ากองเดิม
แม่กลับพับเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเอง

ผมรู้สึกเอะใจ
เลยถามว่า “แม่ นั่นกระดาษอะไร ขอผมดูหน่อยนะ”
แม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงล้วงออกมาวางบนข่าวปึกนั้น
แล้วหุนหันเข้าครัวไปทำกับข้าวทันที

ผมหยิบแผ่นข่าวนั้นขึ้นมาดู
มันเป็นบทความบทหนึ่ง ชื่อว่า “เมื่อฉันแก่ตัวลง”
ตัดจากหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2004
เป็นช่วงที่ผมเริ่มเถียงกับแม่ถี่มากขึ้นทุกที

บทความนั้นคัดมาจากนิตยสารฉบับหนึ่งของเม็กซิโก
ฉบับเดือนพฤศจิกายน ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบทันที
....

เมื่อฉันแก่ตัวลง
ไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น ขอโปรดเข้าใจฉัน มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกสักนิด

ตอนฉันทำแกงหกใส่เสื้อตัวเอง
ตอนฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า ขอให้คิดถึงตอนแรกๆที่ฉันใช้มือสอนเธอทำทุกอย่าง
ตอนฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆที่เธอรู้สึกเบื่อ
ขอให้อดทนสักนิด อย่าเพิ่งขัดฉัน
ตอนเธอยังเล็กๆ ฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำๆซากๆ จนเธอหลับเลย
ตอนฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้ อย่าตำหนิฉันเลยนะ

ยังจำตอนที่เธอยังเล็กๆ ฉันต้องทั้งออดทั้งปลอบเพื่อให้เธอยอมอาบน้ำได้ไหม
ตอนฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆ
อย่าหัวเราะเยาะฉัน จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทนตอบคำถาม
“ทำไม ทำไม”ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหม

ตอนฉันเหนื่อยล้าจนเดินต่อไม่ไหว
ขอจงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉัน
เหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดินในตอนที่เธอยังเล็กๆ
หากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่
ให้เวลาฉันคิดสักนิด ที่จริงสำหรับฉันแล้ว
กำลังพูดเรื่องอะไรไม่สำคัญหรอก ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉัน
ฉันก็พอใจแล้ว

ตอนเธอเห็นฉันแก่ตัวลง
ไม่ต้องเสียใจ ขอให้เข้าใจฉัน สนับสนุนฉัน
ให้เหมือนตอนที่ฉันสนับสนุนเธอตอนเธอเพิ่งเรียนรู้ใหม่ๆ

ตอนนั้นฉันนำพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิต
ตอนนี้ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉันเดินไปให้สุดเส้นทาง
ให้ความรักและอดทนต่อฉัน
ฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจ
ในรอยยิ้มของฉันมีแต่ความรักอันหาที่สิ้นสุดมิได้ของฉันที่มีให้กับเธอ

ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบ
เกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ (ใจแข็งจริง ไอ้หมอนี่) ตอนนั้น แม่เดินออกมา ผมแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ตอนแรกแม่คงอยากให้ผมได้อ่านบทความนี้หลังจากผมกลับไปแล้ว
จึงคะยั้นคะยอให้ผมนำข่าวปึกนั้นกลับไป
ตอนผมจัดกระเป๋าเดินทาง ผมต้องสละไม่เอาสูทกลับไป
1 ตัว จึงยัดเก็บปึกข่าวเหล่านั้นเข้าไปได้

รู้สึกแม่จะดีใจมาก เหมือนกับว่าหนังสือพิมพ์เหล่านั้นเป็นยันต์โชคลาภสำหรับผม
และเหมือนกับว่าการที่ผมยอมรับหนังสือพิมพ์เหล่านั้น
ผมได้กลับมาเป็นเด็กดีของแม่อีกครั้งหนึ่ง
แม่ตามมาส่งผมจนถึงรถแท็กซี่เลยที่เดียว

หนังสือพิมพ์ที่ผมนำกลับมาเหล่านั้น
ไม่ได้ใช้ทำประโยชน์อะไรเลย แต่บทความ
“เมื่อฉันแก่ตัวลง” บทนั้น ผมได้ตัดเก็บไว้ในกรอบ
เอาไว้ข้างตัวผมตลอดไป

ที่มา : เม็ดทรายใต้ฟ้า

เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

ข้อคิดจากถังน้ำสองใบ

         ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร
ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ
และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง...แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล
จากลำธารกลับสู่บ้าน....จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว

          เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็มที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำ
กลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง....ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจ
ในผลงานเป็นอย่างยิ่ง ...ขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก อับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง
มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ ที่มันถูกสร้างขึ้นมา


1978 Water bucket


          หลังจากเวลา 2 ปี… ที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่น
วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า 'ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะ
รอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้าที่ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมาตลอดเส้นทาง ที่กลับไปยังบ้านของท่าน'

          คนตักน้ำตอบว่า 'เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า...
แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่งเพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่....
ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้าและทุกวันที่เราเดินกลับ...
เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเล็ดพันธุ์เหล่านั้น
         
          เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว
ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว..เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้'

flowers on the table

           คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง...
แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น
อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้....
สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น..
และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง

ที่มา : Ajjima
เจ้าของบทความ : แคน พูนวศินมงคล

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การเลื่อนตัวเองขึ้นแต่ไม่ลดคนอื่นลง

          อาจารย์สอนยูโดชาวญี่ปุ่น อายุปูนปัจฉิมวัยคนหนึ่ง ชวนลูกศิษย์หนุ่มชาวอเมริกันเดินทอดน่องไปตามชาย หาดยามเย็น




          ช่วงหนึ่งของการสนทนา อาจารย์ใช้ไม้เท้าขีดเส้นสองเส้นคู่ขนานลงไปบนผืนทรายขาวละเอียด เส้น หนึ่งยาวประมาณ 5 ฟุต อีกเส้นหนึ่งยาวประมาณ 3 ฟุต


          "เธอลองทำให้เส้นที่ยาว 3 ฟุต ยาวกว่าเส้นที่ยาว 5 ฟุต ให้อาจารย์ดูหน่อยสิ" เสียงอาจารย์บอกเป็นเชิงท้าทายอยู่ในที ลูกศิษย์อเมริกันหยุดคิด พินิจเส้นทั้งสองอยู่ครู่หนึ่งก็เผยยิ้มที่ริมฝีปากเหมือนค้นพบคำตอบ เธอบรรจงใช้เท้าข้างหนึ่งค่อยๆ ลบรอยเส้นตรงที่ยาว ประมาณ 5 ฟุตนั้นให้สั้นลงจนเหลือนิดเดียว โดยวิธีนี้เส้นที่ยาวราว 3 ฟุต จึงโดดเด่นขึ้นมาแทน ลบเสร็จเธอเงยหน้าสบตาอาจารย์พลางขอความเห็น "เช่นนี้ ใช้ได้หรือยังครับ"


          ผู้เป็นอาจารย์ใช้ไม้เท้าเคาะหัวเธอเบาๆ หนึ่งทีก่อนบอกว่า "ใช้วิธีนี้ ชีวิตเธอก็มีแต่จะล้มเหลว รู้ไหม ?

          คนที่คิดจะยกตัวเองให้สูงขึ้นโดยการทำร้ายคู่แข่งนั้น ไม่สู้ฉลาดเลย ทางทีดี จงยกตัวเองขึ้น แต่อย่าลดคนอื่นลง" ว่าแล้วอาจารย์ก็ขีดเส้นทั้งสองใหม่ แล้วสาธิตให้ดูโดยการปล่อยเส้นที่ยาว 5 ฟุตไว้อย่างเดิม แต่ขีดเส้นที่ยาว 3 ฟุตให้ยาวขึ้นเป็น 10 ฟุต

          ฝ่ายลูกศิษย์ยังคงกังขา "คู่แข่งของเธอ ไม่ใช่ศัตรู แต่คือครูของเธอ และเขา คือ คนสำคัญที่จะทำให้เธอได้ก้าวไปข้างหน้าอย่าง สง่างาม เธอลองคิดดู หากไร้เสียซึ่งคู่แข่ง เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองมีศักยภาพในการทำงานขนาดไหน ไม่มีอัปลักษณ์ เธอจะรู้จักความสวยงาม ได้อย่างไร คู่แข่งขันของเรายิ่งเก่ง ยิ่งฉลาดล้ำ ก็จะทำให้เรารู้จักขยับตัวเองขึ้นไปให้สูงส่งยิ่งขึ้น นักสู้ที่ดีนั้น เขายืนหยัดอยู่ในสังเวียนได้เพราะมีคู่ต่อสู้ที่เข้มแข็ง คู่ต่อสู้ที่อ่อนแออาจทำให้เราเป็นผู้ชนะ แต่ชัยชนะ นั้นมักไม่ยืนยง"

           คนที่พยายามจะเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยการฆ่าน้อง ฟ้องนาย และขายเพื่อน


          ถึงแม้จะทำได้สำเร็จ แต่นั่นก็เป็นความสำเร็จที่ปราศจากเกียรติคุณ ไม่อาจเอ่ยอ้างได้อย่างเต็มภาคภูมิ การเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยวิธีที่ไม่ชอบธรรม กับการเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยปล่อยให้คนอื่นได้ก้าวไปตาม วิถีทางของเขาอย่างเสรีนั้น มีผลลัพธ์ต่างกันเพียงไร "การเลื่อนตัวเองขี้น พร้อมกับลดคนอื่นลง เธออาจชนะ แต่ก็มีศัตรูเป็นของแถม"


          "การเลื่อนตัวเองขึ้นแต่ไม่ลดคนอื่นลง เธออาจเป็นผู้ชนะพร้อมกับมีเพื่อนแท้เพิ่มขึ้นมากมาย วิธีไหนจะดีกว่ากัน?"..................

iPad magic

ตอนนี้ใครๆ ก็รู้จักและอยากจะมีเจ้าเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาของ apple ที่มีชื่อเรียกว่า "iPad" กันทั้งบ้านทั้งเมือง

ที่ประเทศญี่ปุ่น มีกระทาชายนายหนึ่งซึ่งแกคงเป็นนักมายากล ได้นำเจ้า iPad นี้มาประกอบการแสดงมายากลของแกได้น่าดูและน่าทึ่งมากครับ แสดงกันบนถนนสดๆ นั่นแหละ เลยอยากเอามาให้ชมกันเล่นๆ ไม่ได้มีสาระอะไรมาก แต่เห็นว่าไอเดียของเขามันแปลกดี

วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คุณค่าและความสุขของการมีชีวิตเพื่อผู้อื่น

          ผมได้ร้บฟอร์เวิร์ดเมล์มาฉบับหนึ่ง และได้เก็บไว้นานมาแล้ว เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก ความผูกพันและความเสียสละของพี่น้องคู่หนึ่ง ซึ่งน่าประทับใจมาก และอยากแนะนำให้ได้อ่านกัน เพื่อที่จะได้รับรู้ว่า ในชีวิตของคนเรานั้น ยังมีแง่มุมที่สวยงามและน่าชื่นชม ควรที่จะนำมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตที่ดีงามของเราได้

          ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่า! หันหน้าเข้าหากำแพง โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

'ใครขโมยเงินไป' พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า 'ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ' พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า

'ผมขโมยเองครับ'

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน
' ของคนในบ้านแกเองแกยังขโมยได้ ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย'

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า' พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว'ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ.

หลายปีผ่านไป แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียนม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้นพ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

'ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ'

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆพ่อ ได้พูดว่า

'แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน'

ทันใดนั้นน้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

'ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว'

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

'ทำไมถึงคิดโง่ๆอย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้'

คืนนั้นทั้งคืนพ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเ งิน
ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า

'ต้องให้น้องได้เรียนต่อ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้'

แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ ใครจะรู้ได้ .......
วันต่อมาในตอนเช้ามืด น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ

'พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆนะ....ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่'

ฉันนั่งอยู่บนเตียง อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ....... ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี

.....


ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงาน เป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้

จนถึงปี 3 วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า

'มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ'

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ??? ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง

ฉันถามเขาว่า

'ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ'

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆว่า

'ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...

ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี'

ฉันค่อยๆเอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ

'พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม'

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ เขาติดกิ๊บให้ฉัน

แล้วพูดว่า

'ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน

ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง'

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

ตอนนั้นน้องของฉัน อายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี

......

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก ฉันสังเกตเห็นว่า หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

'แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก

เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ'

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า

'แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ'

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็น บาดแผลบนมือ ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด

'เจ็บมากไหม' ฉันถาม

'ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ........'

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด เพราะฉันหันหน้าหนีเขา น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

'เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ'

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...


หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน... แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง

แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป...

เขาบอกกับฉันว่า

'พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง'

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

'ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!! ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้

ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง'

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา

'พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขย เพิ่งจะได้เป็นประธาน ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด'

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....

ฉันบอกกับน้องว่า

'แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...'

'ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ'

น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

'ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้'

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล

'พี่สาวของผมครับ' .....

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

'ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม. เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ


.......นับจากวันนั้น ผมสาบานกับตัวเองว่า ตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี และจะทำดีกับเธอ'

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......

'ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด

คือน้องชายของฉันค่ะ'

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้

น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรักและห่วงใยคนที่คุณรัก ในทุกๆวันในชีวิตของคุณและเขา

คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ

แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

..

ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

จบบริบูรณ์....

ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท
ส่วนน้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ
ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า 'ซัมซุง'


และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์

โดยดาราเล็กๆ 2 คนคือ ซอง เฮ เคียว / ลี ดอง ฮุค

บู มิง ฮอง

เล่าเรื่อง

วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ศีรษะนี้ ถวายแด่พระเจ้าแผ่นดิน

     พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตรัสไว้เมื่อครั้งที่หนังสือ พิมพ์ดุสิตสมิต นำโคลงบทนี้ไปตีพิมพ์ เมื่อ พ.ศ. 2461 ว่า

     "นักรบฝรั่งเศสโบราณมีภาษิตอยู่อัน 1 สำหรับเป็นบรรทัดฐานแห่งความประพฤติของเขา เป็นภาษิตที่จับใจข้าพเจ้ายิ่งนัก จึ่งได้นิพนธ์เทียบเป็นคำโคลงภาษาไทยขึ้นไว้ว่า "
มโนมอบพระผู้
สถิตย์อยู่ยอดสวรรค์
แขนถวายให้ทรงธรรม์
พระผ่านเผ้าเจ้าชีวา
ดวงใจให้ขวัญจิต
ยอดชีวิตและมารดา
เกียรติศักดิ์รักของข้า
ชาติชายแท้แก่ตนเอง
มโนมอบพระผู้
เสวยสวรรค์
แขนมอบถวายทรงธรรม์
เทอดหล้า
ดวงใจมอบเมียขวัญ
และแม่
เกียรติศักดิ์รักข้า
มอบไว้แก่ตัว
     "เมื่อแต่งโคลงแล้ว ข้าพเจ้าได้ให้นายช่างชาติอิตาเลี่ยนในกรมศิลปากร ชื่อริโกลี เขียนภาพขึ้นไว้ 4 ภาพ เพื่อประกอบโคลงบทนั้นบาทละภาพ ภาพทั้ง 4 นี้ คณะ "ดุสิตสมิต" ได้ขออนุญาตจำลองลงพิมพ์ใน "ดุสิตสมิต" พร้อมกับโคลง เดือนมกราคม พ.ศ. 2461"



     โคลงบทนี้่ สง่า อารัมภีร และ สุนทรียา ณ เวียงกาญจน์ ได้นำไปประพันธ์เป็นเพลงประกอบละครเวที เรื่อง "เกียรติศักดิ์ทหารเสือ" ซึ่งเป็นละครที่ "อิงอร" ได้ดัดแปลงเนื้อเรื่องมาจากนิยายเรื่องสามทหารเสือ (The Three Musketeers) ของอเล็กซานเดอร์ ดูมาส์ แสดงนำโดย ส. อาสนจินดา, สมพงษ์ พงษ์มิตร, จอก ดอกจันทน์ และหล้งจากนั้น ยังได้มีการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์อีก 2 ครั้ง คือ


   * ภาพยนตร์ เกียรติศักดิ์ทหารเสือ (2508) กำกับโดย ส. อาสนจินดา นำแสดงโดย สมบัติ เมทะนี , ไชยา สุริยัน, ทักษิณ แจ่มผล และ พิศมัย วิไลศักดิ์
   * ภาพยนตร์ เกียรติศักดิ์ทหารเสือ (2526) กำกับโดย ส. อาสนจินดา นำแสดงโดย ทูน หิรัญทรัพย์, โกวิท วัฒนกุล, อนุสรณ์ เตชะปัญญา และ พิศมัย วิไลศักดิ์

ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย

     ในงานประกาศรางวัล นาฎราช ครั้งที่ 1 ซึ่งจัดโดย สมาพันธ์สมาคมวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ที่หอประชุมกองทัพเรือเมื่อไม่กี่วันมานี้ คุณ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ได้รับรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง พระจันทร์สีรุ้ง ทางช่อง 3 คุณ พงษ์พัฒน์ฯ ได้ขึ้นไปกล่าววาทกรรมบางอย่างบนเวที ซึ่งเป็นที่ฮือฮาและซาบซึ่งใจของผู้ร่วมงานมาก จนเป็นที่กล่าวขวัญถึงและมีผู้นำคลิปวีดีโอไปเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตมากมาย


     ผมเองได้ดูแล้ว บรรยายความรู้สึกไม่ถูกครับ รู้แต่ว่าความคิดมันมาจบลงที่โคลงบทนี้ทันที ลองชมดูครับ คุณอาจรู้สึกรักในหลวงมากขึ้นและอาจไม่น้อยกว่าคุณพงษ์พัฒน์ก็เป็นได้

21 Guns : Green Day

     นับแต่จำความได้ ผมก็ได้เห็นความไม่สงบในบ้านในเมืองเรามาแล้วหลายครั้ง ที่จำได้ครั้งแรกตอนเรียนชั้นประุถม ก็ได้รับรู้กับ "วันมหาวิปโยค" 14 ต.ค. 16 ต่อมาก็ 6 ต.ค. 19 ตามด้วย "พฤษภาทมิฬ" และอีกหลายๆ ครั้ง แต่ไม่มีครังไหนที่มันจะน่าสะเทือนใจเท่ากับครั้งนี้ เพราะมันทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่พวกเรากันเองอย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อน

     คนที่ไม่รู้จักกันต้องมาฆ่ากัน ทำร้ายกัน เพียงเพราะเรามีความเชื่อที่ต่างกันเท่านั้นหรือ  หรือว่าเป็นเพียงเพราะผลประโยชน์ที่แต่ละฝ่ายจะได้หรือเสียเราก็พร้อมที่จะเอาความสงบสุขและชีวิตของพี่น้องร่วมชาติมาแลก ถ้าเราได้ผลประโยชน์นั้นมา ลองคิดดูเถิดว่า มันคุ้มกันหรือไม่ และเราจะมีความสุขอยู่กับมันในสภาพบ้านเมืองที่ต้องทะเลาะเบาะแว้งและหวาดระแวงกันเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ไหม

     พวกเราทุกคนคงได้ร่วมกันรับรู้ถึงความทุกข์จากวิกฤติการณ์ครั้งนี้เป็นอย่างดี ผมเองไม่อยากเขียนถึงเรื่องความขัดแยังหรือเรื่องไม่ดีในบล็อกนี้ เพราะผมตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะเขียนแต่เรื่องที่ดีๆ ไว้ให้อ่านเพื่อที่อาจจะใช้เป็นแรงบันดาลใจกันได้บ้าง แต่เมื่อมาคิดอีกที การที่เรายอมรับความจริงว่า มันได้มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา และถ้าเราได้สะท้อนความรู้สึกนึกคิดและความเป็นห่วงออกมาเพื่อให้ผู้คนได้รับรู้บ้าง ก็น่าจะเป็นการบันทึกที่ดีเพราะอย่างน้อย เมื่อเวลาผ่านไป มันก็จะเป็นบทเรียนที่ทำให้คนรุ่นหลังหรือแม้แต่ตัวเราเอง ได้มองย้อนกลับมาเห็นความผิดพลาดบางอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมของเรา

     ผมหวังว่า เมื่ออารมณ์สงบลงและสติปัญญาเกิดขึ้น เราจะได้เรียนรู้จากสิ่งต่างที่เกิดขึ้นโดยปราศจากอคติที่มาครองงำจิตใจ และเราจะได้มาร่วมพิจารณากันอีกครั้งเพื่อนำบทเรียนอันน่าสะเทือนใจนี้มาสอนลูกหลานของเราไม่ให้กระทำซ้ำขึ้นอีกในอนาคต

     คงจะมีคนไทยอีกจำนวนมากที่คิดเหมือนผม แต่เนื่องจาก ภาพหนึ่งภาพแทนคำได้น้บพันคำ แทนที่จะบันทึกเรื่องราวไว้เป็นตัวหนังสือ ผมจึงขอนำวิดีโอที่มีผู้นำเพลง 21 Guns ของ วง Green Day มาประกอบกับภาพในช่วงวิกฤติครั้งนี้มาให้ชมกันในหลายๆ เวอร์ชั่น ชมแล้ว คิดว่าท่านคงรู้สึกเศร้าใจไปกับผมว่า ทำไมคนไทยเรามันบ้ากันได้จริงๆ

21 Guns - Green Day (made for Thailand)



Green Day-21 Guns:War of Thailand.mpg



21 guns Feat.THAILAND



เพื่อชาติ 21Gun For Thailand



We are thai



(คำว่า "21 Guns" หมายถึงการยิงสลุต 21 นัด เพื่อเป็นการให้เกียรติหรือไว้อาลัยแก่บุคคลในโอกาสหรือพิธีการสำคัญ ซึ่งหมายรวมถึงการสลุตให้แก่ผู้ที่เสียชีวิตจากการรบในสงครามด้วย)


     เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้ผมนึกถึงโจ๊กเรื่องหนึ่งที่ไม่ค่อยขำเท่าไร ซึ่งเขาเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีคนสิงคโปร์เดินทางมาเที่ยวเมืองไทย หลังจากที่ไกด์ได้พาเที่ยวสถานที่ต่างๆ จนทั่วแล้ว เพื่อแสดงความสนิทสนมกับลูกค้า ไกดฺ์ได้ชวนพูดคุยโดยถามคำถามยอดฮิตกับนักท่องเที่ยวสิงคโปร์หลายข้อ เช่น อาหารไทยอร่อยไหม ผู้หญิงไทยสวยไหม (ไม่รู้จะถามทำไม) คำตอบก็อย่างที่รู้ๆ จนสุดท้าย เมื่อไกด์อยากทราบความคิดเห็นเพื่อไว้เป็นข้อมูลสำหรับปรับปรุงบริการให้แก่ลูกค้าคนต่อๆไป จึงถามชาวสิงคโปร์คนนั้นว่า คุณคิดว่าเมืองไทยมีอะไรดีบ้าง ชาวสิงคโปร์คนนั้นจึงตอบว่า "เมืองไทยมีดีกว่าสิงคโปร์ทุกอย่าง เสียอย่างเดียว ที่นี่มีคนไทยมากเกินไป"

     เมืองไทยเราถึงจะมีความแตกต่าง เหลื่อมล้ำ มีคนทุกข์ยากอยู่มาก แต่ผมว่าเราก็เคยมีความสุขกันตามอัตภาพ ตามประสาคนไทย อย่างน้อย ก็มากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ถ้าเราคิดจะทำหรือเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นแล้ว ผมเชื่อว่า พวกเรามีดีกว่าที่ชาวสิงคโปร์คนนั้นพูดมากนัก และเชื่อว่าพวกเรามีศักยภาพที่จะช่วยกันฝ่าฟันวิกฤติการณ์ครั้งนี้ไปได้ จากนั้น ผมหวังว่า วันหนึ่งเราจะช่วยกันลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งสร้างความเป็นธรรมและเ่ท่าเทียมกันในสังคมของเราได้ วันนั้น เราคงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่มีเงื่อนไขที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง เหมือนเช่นที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

     แต่หากพวกเราทำไม่ได้ หรือประเทศไทยล้มเหลวแล้ว วันหนึ่่งก็คงมีคนชาติอื่นที่เขาจะเข้ามาแล้วหยามหน้าชาติพันธู์ของเราว่า

     "โง่เหมือนควาย ตีกันเหมือนไก่ตรุษจีน"
            หรือ
     "Stupid Thais"

     และตอนนั้นเราคงต้องนึกถึงเนื้อเพลง "ถามคนไทย" ท่อนหนึ่งที่คุณ สันติ ลุนเผ่ แกได้เคยร้องไว้ว่า

"วิญญาณปู่จะร้อง ไอ้ลูกหลานจัญไร"

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หากเราไม่กลัวความล้มเหลว โลกนี้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว

Harry Potter and the Chamber of Secrets


ผมเชื่อว่าคนในยุคนี้ต้องเคยอ่านหรือดูภาพยนต์ชื่อดังเรื่อง "แฮรี่ พอตเตอร์" ด้วยกันเกือบทุกคน อย่างน้อยก็ต้องเคยได้ยินชื่อนวนิยายเรื่องนี้กันมาบ้าง คนแต่งเรื่องนี้ชื่อ เจ.เค.โรว์ลิ่ง ที่แต่เดิมเป็นเพียงหญิงหม้ายลูกติดที่หย่าร้างกับสามี และมีฐานะที่ยากจนมาก เธอพยายามต่อสู้ชีวิตด้วยความยากลำบาก และผ่านการล้มเหลวมามากมาย หลายต่อหลายครั้ง แต่ภายหลังจากที่เธอเขียนนวนิยายเรื่องนี้แล้ว เธอได้กลับกลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งของโลก ว่ากันว่า รายได้ของเธอนั้นมากกว่าควีนอลิซาเบธของอังกฤษเสียอีก
 

ที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด มีประเพณีอย่างหนึ่งที่ทางมหาวิทยาลัยจะเชิญบุคคลที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จมาปาฐกถาให้บัณฑิตใหม่ฟังในวันรับปริญญาเป็นเวลาประมาณ 20 นาที บุคคลที่ทางมหาวิทยาลัยเคยเชิญมาก็ล้วนมีระดับ เช่น บิล เกตส์ เจ้าพ่อไมโครซอฟท์ หรือ สตีฟ จอบส์ ผู้ก่อตั้งและเป็นตำนานของแอ๊ปเปิ้ล เป็นต้น สำหรับในปี 51 ผู้ที่ได้รับเชิญมาเป็นองค์ปาฐกก็คือ เจ.เค.โรว์ลิ่ง ที่เรากำลังพูดถึงนั่นเอง

Harvard University

ในเวลาเพียงยี่สิบนาทีที่ เจ.เค.โรว์ลิ่ง ได้ปาฐกถาให้บัณฑิตของมหาวิทยาลัยชั้นยอดของโลกฟังในวันนั้น มีตอนหนึ่งที่เธอได้กล่าวว่า

"พวกคุณทุกคนคงไม่มีวันล้มเหลวในระดับที่ดิฉันเคยพบ แต่ความล้มเหลวหลายเรื่องในชีวิตเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงมิได้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีชีวิตอยู่โดยไม่เคยทำผิดพลาดเลยแม้แต่เรื่องเดียว ยกเว้นว่าคุณจะใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังถึงขีดสุด ซึ่งนั่นก็แทบไม่แตกต่างจากการไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่เลย และในกรณีนั้นก็ต้องถือว่าคุณได้ "ล้มเหลว" ไปแล้วโดยปริยาย"

"It is impossible to live without failing at something, unless you live so cautiously that you might as well not have lived at all - in which case, you fail by default"

J.K Rowling


ฟังแล้วต้องเก็บเอามาคิดนะครับ


(เรื่องนี้ เนื้อหาตอนกล่าวปาฐกถาบางส่วน ผมเรียบเรียงมาจากข้อมูลในหนังสือ "อัจฉริยะสร้างสุข" ของ คุณ วนิษา เรษ หากสนใจ ยืมอ่านได้ที่ห้องสมุด รร.พธ.ฯ ครับ)




วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

องค์กรแห่งความสุข (Happy Workplace)

วันนี้ ผมได้หลงเข้าไปอ่านบทความใน http://www.thaihealth.or.th/node/5956 เข้าโดยบังเอิญ เป็นบทความเกี่ยวเนื่องกับ บริษัท NOK ที่มีชื่อเสียงเรื่องการจัดการความรู้ แต่บทความนี้นำเสนอในแง่มุมเกี่ยวกับเรื่อง Happy Workplace ซึ่งทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่เคยคุยกับ น.อ. ประเทือง ไวยนันทา รอง หน.ฝ่ายอำนวยการฯ ว่า เรื่อง Happy Workplace นี่กำลังจะเข้ามาในหน่วยของเราอีกแล้ว เป็น "งานเข้า" อีกเรื่องหนึ่ง แม้จะดูว่าเป็นงานเพิ่ม แต่ผมก็เห็นว่าเรื่องนี้มันมีประโยชน์ต่อองค์กรและคุณภาพชีวิตของกำลังพลอยู่มาก เลยคิดว่าน่าจะคัดลอกบทความนี้มาให้อ่านกันเพื่อเป็นการทำความเข้าใจกันก่อน

NOK องค์กรแห่งความสุข


สุขภาพใจเรื่องเด่น


สร้าง Happy Workplace ด้วย ความสุข 8 ประการ


ความสุขของคนทำงานเป็นส่วนหนึ่งที่ชี้วัดความสำเร็จของสถานประกอบการจริงหรือ มาร่วมกันหาคำตอบจากสถานประกอบการที่ประสบความสำเร็จที่มีวิธีการสร้างความสุขให้กับพนักงานโดยใช้กิจกรรมที่เรียกว่า Happy Workplace หรือองค์กรแห่งความสุข


ความเจริญก้าวหน้า ยั่งยืนและมั่นคง เป็นปัจจัยสำคัญที่องค์กรต้องใส่ใจและมุ่งมั่นพัฒนา ก่อนหน้านี้บริษัท NOK เคยเป็นต้นไม้เล็ก ๆ ที่เติบโตอย่างช้า ๆ มีพนักงานประมาณ 200 กว่าคน ถึงบัดนี้องค์กรได้เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่มีพนักงานมากกว่าพัน คน ยอดขายสองพันกว่าล้านบาทแต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ต้องใช้ระยะเวลาหลายปี มีความอดทนในการสร้างคนให้เป็นคนเก่งและคนดี ซึ่งบริษัทฯ ถือเป็นเรื่องสำคัญพอกับการสร้างคุณภาพในสินค้าเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ NOK จึงพยายามสร้างความสุขให้แก่พนักงาน เพราะเล็งเห็นว่าเมื่อคนมีความสุข ย่อมสามารถทำงานได้อย่างมีคุณภาพ


Happy Workplace คือการสร้างความดีและความสุขให้เกิดในที่ทำงาน โดยใช้ Happy 8 (ความสุข 8 ประการ) มาใช้ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้


1. Happy Body ส่งเสริมให้พนักงานออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้พนักงานมีร่างกายแข็งแรง จิตใจแจ่มใสเบิกบาน บริษัทจึงได้จัดสร้างศูนย์กีฬาเพื่อเป็นศูนย์กลางของการออกกำลังกาย และยังได้จัดงานกีฬาสีประจำปีช่วงเดือนธันวาคม เพื่อสร้างความสมานฉันท์ในหมู่พนักงาน


2. Happy Heart กิจกรรมส่งเสริมความมีน้ำใจ เอื้ออาทรต่อกันในที่ทำงาน เช่น การมีเจ้าหน้าที่แรงงานสัมพันธ์ไปเยี่ยมไข้พนักงานที่เจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล หรือการที่ผู้บริหารมอบกระเช้าของขวัญสำหรับคุณแม่ให้พนักงานหญิงที่ลาคลอด อีกทั้งยังเผื่อแผ่ความสุขไปยังเพื่อนมนุษย์โดยให้โรงพยาบาลในพื้นที่ใกล้เคียงเข้ามารับบริจาคโลหิตจาพนักงานเพื่อช่วยเหลือ ผู้ป่วยตามโรงพยาบาลเป็นประจำ เมื่อถึงช่วงสงกรานต์ บริษัทได้จัดพิธีรดน้ำพระและรดน้ำดำหัวผู้บริหารเพื่อเป็นศิริมงคลแก่พนักงาน และอีกหนึ่งเทศกาลที่เป็นสีสัน คือ วันวาเลนไทน์ ที่ผู้บริหารจะเข้าแถวต้อนรับพนักงานอยู่ที่หน้าประตู Line การผลิต เพื่อมอบดอกกุหลาบให้กับพนักงานทุกคนในตอนพักทานข้าวเที่ยง


3. Happy Society กิจกรรมช่วยเหลือสังคมรอบข้าง เพราะหากสังคมรอบข้างดี องค์กรที่อยู่ในสังคมนั้นก็มีความสุขไปด้วย NOK จึงได้จัดกิจกรรม เช่น การบริจาคสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นให้กับหน่วยงานราชการในชุมชน หรือการร่วมมือกับบริษัทต่าง ๆ ในนิคมฯ จัดงานเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กนักเรียนในเขต ต.บางกระสั้น เนื่องในงานวันเด็กแห่งชาติ


4. Happy Relax เป็นกิจกรรมสร้างความสนุกสนานผ่อนคลายความเมื่อยล้าและความเครียดจากการทำงานช่วยให้พนักงานมีขวัญและกำลังใจที่ดี และมีโอกาส รู้จักกันมากขึ้น โดยทางบริษัทฯ จัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่นการประกวดร้องเพลงหรรษาคาราโอเกะ กิจกรรมท่องเที่ยวประจำปีงานวันปีใหม่ และยังได้จัดพื้นที่สำหรับกิจกรรมสันทนาการ เช่น ห้องคาราโอเกะและห้องซ้อมดนตรี ให้พนักงานได้ใช้ในเวลาพักอีกด้วย


5. Happy Brain กิจกรรมส่งเสริมทักษะ เพิ่มพูนความรู้ให้กับพนักงาน โดยจัดให้มีห้องสมุดซึ่งมีทั้งหนังสือ สื่อวีดิทัศน์ และอินเทอร์เน็ตไว้บริการ อีกทั้งยังจัดทำ website ภายใน เรียกว่า KM Website เพื่อให้พนักงานสามารถสืบค้นเชื่อมต่อไปยังลิงค์ความรู้ต่าง ๆ ผ่านระบบ Internet ของบริษัทอย่างสะดวกง่ายดาย


6. Happy Soul จัดกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมให้กับพนักงาน เช่น การทำบุญตักบาตรทุกเดือน โดยนิมนต์พระสงฆ์จากวัดใกล้เคียงมารับบิณฑบาตจากพนักงานที่เกิดในเดือนนั้น และยังได้จัดสร้างห้องสวดมนต์ นั่งสมาธิไว้ให้พนักงานได้ปฏิบัติศาสนกิจ เพื่อให้เกิดความสงบสุขทางจิตใจ


7. Happy Money เป็นกิจกรรมรณรงค์ให้พนักงานใช้จ่ายอย่างประหยัด เช่น รณรงค์การออม โดยใช้เงิน 3 ส่วน ออม 1 ส่วน, การจำหน่ายผักปลอดสารพิษในราคาถูก, อนุญาตให้พนักงานนำน้ำดื่มของบริษัทฯ กลับไปดื่มที่บ้านได้ และการจัดตลาดนัดจำหน่ายสินค้าราคาถูก


8. Happy Family จัดกิจกรรมสร้างความรักความผูกพันในครอบครัวและสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างครอบครัวพนักงานกับองค์กร เช่น จัดกิจกรรมประกวดเรียงความพระคุณของพ่อและแม่ในวันพ่อและวันแม่แห่งชาติ จัดทำโปสการ์ดให้พนักงานได้เขียนข้อความแสดงความกตัญญู ส่งถึงพ่อกับแม่ในต่างจังหวัด และยังมีการประกวดภาพ Happy Family อีกด้วย


นอกจาก Happy ทั้ง 8 ประการที่กล่าวมา การมีส่วนร่วมของพนักงานก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะ NOK เล็งเห็นแล้วว่าทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งที่มีคุณค่า พนักงานหลายคนมีศักยภาพและความสามารถ หากเราเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงความคิดเห็น ได้ลงมือทำ ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานด้วยตนเอง องค์กรจะพัฒนาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว พนักงานเองก็รู้สึกภาคภูมิใจว่าเขาเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า เป็นคนที่หัวหน้าและเพื่อนร่วมงานยอมรับ


และเนื่องจากเราต้องการสร้าง NOK ให้เป็นบ้านหลังที่สอง ดังนั้นบริษัทฯ จึงจัดให้มีสวัสดิการสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับพนักงานอย่างทั่วถึง เช่น บริการรถรับส่งปรับอากาศ, สวัสดิการค่าอาหาร, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, เงินกู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัย, ประกันสุขภาพหมู่, ทุนเรียนดีสำหรับบุตรหลานของพนักงาน, การตรวจสุขภาพประจำปี, บริการห้องพยาบาลตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น


เห็นตัวอย่างดี ๆ อย่างนี้แล้ว อย่ารอช้าครับ ลองนำ Happy Workplace ไปประยุกต์ใช้กับองค์กรของท่าน ผมรับรองได้ว่า บริษัทฯ จะ Happy พนักงานก็ Happy ด้วยเช่นกัน


ที่มา : จดหมายข่าวชุมชนคนรักสุขภาพฉบับสร้างสุข ฉบับที่ 84 กันยายน 2551

เรื่อง Happy Workplace นี้ ผมเคยพูดคุยกับกำลังพลหน้าแถวเช้าวันศุกร์ว่า การที่จะวัดว่าเราเองอยู่ในองค์กรที่มีความสุขหรือไม่นั้น ให้ลองตรวจดูความรู้สึกของเราในตอนเช้าวันจันทร์ว่า เรามีความกังวล เบื่อหน่ายหรือทุกข์ใจที่จะต้องกลับมาทำงานหลังจากได้หยุดพักผ่อนในช่วงเสาร์ - อาทิตย์หรือไม่ ถ้าเรารู้สึกถึงความกระฉับกระเฉงหรือพลังที่เต็มเปี่ยม พร้อมที่จะกลับมาทำงานได้เมื่อไรแล้วละก็ นั่นก็น่าจะเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งว่า รร.พธ.ฯ ของเราอาจจะอยู่ในวิถีแห่งการก้าวไปเป็นองค์กรแห่งความสุขแล้ว แต่ถ้ายังไม่เป็นเช่นนั้น เราก็น่าจะตั้งความหวังและตั้งใจที่จะร่วมกันทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นในหน่วยงานของเรา เพราะในช่วงชีวิตสั้นๆ ของแต่ละคนนั้น แม้เราจะอยู่ที่บ้านนานกว่าที่ทำงาน แต่เราก็ลืมตาใช้ชีวิตส่วนมากอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ

วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553

เสื้อเหลือง vs เสื้อแดง

โอยย...เดือนเมษายนปีนี้ อุณหภูมิร้อนแรงไม่แพ้ปีที่แล้ว



นี่... พี่เสื้อแดงเขามากันเต็มถนนไปหมด




โน่น....พี่เสื้อเหลืองก็มาด้วย
เอาละซี

น่ากัว จัง
ปะทะกันแน่ เลือดสาดดด ชัวร์ !


 
อ้าว !
.
.
.
.
.

ไชโย้...  เหลือง-แดง สมานฉันท์กันได้แล้ว

(ขอขอบคุณ ภาพจาก http://www.oknation.net/blog/redribbons07 )


clap

ถ้าได้อย่างนี้ คนดูก็ชอบใจ
ประเทศไทยจงเจริญ

(ดูกันแก้เครียด หวังว่าคงช่วยลดอุณหภูมิการเมืองลงได้บ้างนะครับ)

วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553

แฟนซีดริล นรจ.พธ. : Mission Impossible

พวกเราทหารเรือคงเคยเห็นการแสดงแฟนซีดริลของโรงเรียนนายเรือ รร.ชุมพลฯ หรือ นย.กันมาบ้างแล้ว แต่ใครบ้างจะคิดว่า รร.พธ.ฯ ของเราก็เคยมีการแสดงแฟนซีดริลประกอบอาวุธปืนกับเขาด้วยเหมือนกัน

ในการจัดงานสถาปนาโรงเรียนประจำปี 52 รร.พธ.ฯ มีนโยบายให้นักเรียนแต่ละหลักสูตรจัดการแสดงเข้าร่วมแสดงบนเวทีในงานเลี้่ยงตอนเย็น ซึ่งในส่วนของนักเรียนพลมักไม่ค่อยมีปัญหา เพราะมีเป็นร้อยๆ คน และบางคนก็มีอาชีพทางนี้มาบ้าง การแสดงส่วนมากก็มักเป็นการร้องเพลง ไม่ก็เต้นพวกแร็ป หรือบีบอยอะไรเทือกนั้น และที่พบเห็นบ่อยๆ คือการแสดงของเหล่า "นางฟ้า" ซึ่งก็สร้างสีสรรได้พอควร แต่สำหรับ นรจ. ซึ่งในแต่ละรุ่น มีไม่ถึง 30 คนแล้ว เวลาจะให้แสดงอะไร ดูจะเป็นเรื่องใหญ่เสมอ ซึ่ง นรจ.ในปีนี้ตัดสินใจเลือกที่จะแสดงแฟนซีดริล

เวลาของการฝึกซ้อมของการแสดงต่างๆ ได้ผ่านไปจนใกล้จะถึงกำหนด แต่ก่อนที่จะถึงวันคล้ายวันสถาปนา รร.พธ.ฯ (26 มิ.ย. 52) 4 วัน นรจ.สรณัฐ อำนวยทรัพย์ หัวหน้าแฟนซีดริลได้เดินเข้ามาหาผมแล้วบอกว่า "รองฯ ครับ ช่วยกรุณาฝึกแฟนซีดริลให้พวกผมสักหน่อย ได้ไหมครับ" ประโยคนี้ สร้างความงุนงงให้ผมและกลายเป็นที่มาของเรื่องนี้ครับ

ต่อไปนี้เป็นการจำลองบทสนทนา

ผม : ฝึกไปถึงไหนแล้วล่ะ
สรณัฐ : ฝึกเฉพาะท่ามือเปล่าครับ ระยะเวลาที่ได้มันแค่ 3 - 4 นาทีเอง อยากให้ รองฯ ช่วยฝึกท่าอาวุธให้ด้วยจะได้ยืดเวลาเป็นสัก 8 - 10 นาที
ผม : แล้วท่าอาวุธฝึกไปถึงไหนล่ะ
สรณัฐ :ยังไม่ได้ฝึกเลยครับ
ผม : หา ! (นึกในใจ : เวงกำ อะไรวะเนี่ย อีก 4 วัน จะแสดงเนี่ยนะ นี่มัน Mission Impossible ชัดๆ)เฮ้ย มันคงไม่ทันแล้วล่ะ อาจจะต้องงดหรือไปหาโชว์อื่นมาแทนแล้ว
สรณัฐ : พวกผมอยากจะลองดูอ่ะครับ ไหนๆ ก็ซ้อมกันมาบ้างแล้ว
ผม : เฮ้อ ! (นึกในใจ : ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกเด็กเล้ย)เอ้า ! อยากลองดูก็ได้ แต่คงต้องหาแผนสำรองเตรียมไว้บ้างนะ

เย็นวันนั้น หลัง นรจ.เลิกฝึกหัดศึกษา ผมก็ได้ตัดสินใจที่จะยกเลิกการแสดง และคิดว่าจะบอกกับพวก นรจ.อย่างไรดี พอทราบว่า นรจ.ได้นัดไปรวมตัวกันอยู่บนห้องเรียนชั้น 3 ผมก็ตามขึ้นไปแอบดู

ภาพที่ปรากฏต่อหน้าก็คือ กลุ่ม นรจ.ทั้งชั้น กำลังหน้าดำคร่ำเครียดจ้องมองจอคอมพิวเตอร์กันอย่างตาไม่กระพริบ เมื่อเหลียวไปมองภาพในจอ ก็เห็นว่าเป็นวีดีโอจาก youtube ซึ่งเป็นการแสดงแฟนซีดริลของทหาร นย.อเมริกัน (Silent drill) นรจ.กลุ่มนี้กำลังช่วยกันพยายาม "แกะ" ท่าอาวุธต่างๆ นั่นเอง

ภาพที่เห็นนี้ทำให้ผมเกิดความประทับใจและไม่สามารถจะบอกยกเลิกการแสดงของพวกเขาได้ เพราะผมไม่เคยเห็นคราวใดที่ นรจ.จะร่วมแรงร่วมใจและสามัคคีกันขนาดนี้มาก่อน ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นตอนนี้ พวกเขาสามารถรวมตัวและพยายามช่วยกันทำงานได้ ไม่เว้นแม้แต่พวก "ตัวแสบ" ประจำรุ่น

ผมเริ่มที่จะเปลี่ยนความคิด พร้อมกับนึกในใจว่า "เอาวะ มันก็แค่การแสดงชุดหนึ่ง ถึงจะออกมาไม่ดีหรือห่วยอย่างไร เดี๋ยวคนเขาก็ลืม แต่โอกาสดีๆ ที่ นรจ.รุ่นนี้จะได้เรียนรู้จากชีวิตจริงด้วยการทำกิจกรรมแบบนี้ หาไม่ได้ง่ายๆ"

ถ้าขืนผมปล่อยให้ นรจ.กลุ่มนี้ มัวแต่แกะท่าการแสดงอยู่ ชาติหน้าตอนบ่ายๆ ก็ไม่รู้ว่าจะได้ดูไหม ก็เลยเข้าไปหาแล้วบอกว่าจะสอนท่าอาวุธให้สัก 8 - 10 ท่า แล้วให้เอาไปออกแบบCombination ให้เป็นชุดการแสดงเอาเอง เย็นนั้น เราไปฝึกกันบนลานดาดฟ้าชั้น 3 ผมสอนไป ก็นึกท่าการแสดงสมัยที่เป็นนักเรียนนายเรือไป จำได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะมันก็ประมาณ 25 -26 ปี มาแล้ว จนกระทั่งใกล้จะมืด การฝึกจึงต้องเลิกไปโดยปริยาย

ผมประเมินการฝึกของ นรจ.กลุ่มนี้ แล้วเห็นว่า ตั้งใจฝึกกันพอสมควร แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววเลย ท่าอาวุธ ไร้ซึ่งความ "คม" ความเฉียบขาด แนวปืนไปคนละทิศละทาง แต่อย่างน้อย มันก็ใกล้ความจริงขึ้นกว่าเดิมเยอะ

รุ่งขึ้น ตอนเช้า ผมขับรถเข้ามาใน รร.พธ.ฯ ก็เห็น ร.ท.ภาณุพงศ์ กิมาคม นายกราบแผนกปกครองฯ กำลังคุม นรจ.กลุ่มนี้ซ้อมแฟนซีดริลอยู่ โดยมี นรจ.คนหนึ่งตีกลองแต๊กให้จังหวะอยู่ด้วย สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือ นรจ.กลุ่มนี้ สามารถสร้างชุดการแสดงออกมาได้เป็นรูปเป็นร่างอย่างน่าแปลกใจ จนผมต้องหยุดรถดู ทราบภายหลังว่า เมื่อวาน พวกเขาได้ซ้อมต่อกันอีกในตอนกลางคืน

ผมได้ช่วยเข้ามาปรับแต่งการแสดงให้อีกบ้างเล็กน้อย ซึ่งแนวคิดส่วนใหญ่เป็นของ นรจ.เอง และโดยการสนับสนุนอุปกรณ์การแสดงบางส่วนจาก น.อ. เจน จำปาทอง ผอ.รร.พธ.ฯ (ขณะนั้น) ก็ทำให้การแสดงนี้มีความเป็นไปได้มากขึ้นทีเดียว ส่วนคนอื่นๆ ก็เอาใจช่วยกันทั้งโรงเรียน (ว่าจะไปรอดไหมเนี่ย)

ก่อนวันการแสดง 1 วัน ประมาณ 2 ทุ่ม ผมเดินลงมาจากห้องทำงานจะกลับบ้าน ก็เห็น นรจ.เพิ่งรับประทานอาหารเสร็จ และพบ หน.นรจ.ได้เดินแบกปืนสวนกับผมมาจึงได้สนทนากันสั้นๆ

ผม : ยังไม่เลิกซ้อมอีกหรือ ขยันจริงๆ นะ
หน.นรจ. : ครับ พวกเราตั้งใจกันครับ ถ้าจะซ้อมแล้วต้องซ้อมให้ดี

หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของ หน.นรจ.แล้่ว ผมรู้สึกชื่นชมทัศนคติของ นรจ.รุ่นนี้มาก รร.พธ.ฯ ไม่ได้ไปบังคับให้พวกเขาซ้อมแต่อย่างใด พวกเขาสมัครใจกันเอง และต้องการทำสิ่งนี้ให้ดีทีสุดเท่าที่เขาจะทำได้ (พวกผมตอนเด็กๆ ซะอีกที่ต้องโดนรุ่นพี่บังคับให้ซ้อมแฟนซีดริล)

ถึงวันที่จะแสดง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า นรจ.ตื่นเต้นกันมาก ทันทีที่เสียงประกาศแจ้งการแสดงจบลง สายตาของทุกคนในงาน ทั้งคนของ รร.พธ.ฯ เองและบรรดาศิษย์เก่า ก็จับจ้องไปบนเวทีอย่างเอาใจช่วย นรจ.ค่อยๆ เดินขึ้นบนเวทีในชุ่ดเนวี่บลู (ชุดกันหนาว)เมื่อประกอบกับแสงไฟทำให้ดูดีขึ้นมาก




การแสดงช่วงแรกเป็นท่ามือเปล่า ดูไม่ค่อยเหมือนทหารสักเท่าไร แต่ก็เรียกเสียงกรี๊ดได้เกรียวกราวจากบรรดาผู้ชม โดยเฉพาะสาวๆ แดนเซอร์ และแน่นอน "นางฟ้า" ของเรา เธอๆ ต่างก็ใช้กล้องมือถือถ่ายวีดีโอเก็บกันเอาไว้

ช่วงที่ 2 เป็นท่าอาวุธ มีหมู่ธงประกอบด้วย ยิ่งเรียกเสียงปรบมือและเสียงฮือฮาได้มากกว่าเดิม แม้ว่าการเดินแถวและแปรขบวนจะยืดยาดพอดู แต่ก็ไม่ได้สร้างความรำคาญให้คนดูสักเท่าใด


เนื่องจากเวลาซ้อมมีน้อย ถ้าจะแสดงให้พร้อมกัน คงยาก นรจ.ก็รู้จุดอ่อนข้อนี้ดี จึงปรับมาใช้การแสดงท่า "ใบไม้่ร่วง" (แสดงทีละคนต่อเนื่องเหมือนลูกคลื่นหรือใบไม่ร่วง)การแสดงก็นับว่ายังมีจุดบกพร่องอยู่บ้างพอสมควร แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเล่นแฟนซีดริลมาก่อนก็คงมองไม่ค่อยเห็น ซึ่งก็นับว่าการแสดงครั้งที่ประสบผลสำเร็จที่ทำให้ผู้ชมประทับใจและพอใจได้เป็นอย่างดี สิ่งที่ยืนยันได้ก็คือ เสียงที่ผมได้ยินจากรุ่นพี่ นรจ.เมืื่อปีที่แล้วซึ่งกล่าวชื่่นชมด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า "เฮ้ย มันแสดงดี เจ๋งกว่ารุ่นเราอีกว่ะ" (เป็นเพียงทัศนะคติของบุคคลคนหนึ่ง - นรจ.ปีก่อนแสดงการยิงปืนเฉียบพลัน)

ถ้าจะว่าไปผมอยากจะออกความเห็นว่า การแสดงแฟนซีดริลชุดนี้ อาจเป็นแฟนซีดริลที่แย่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา แต่สำหรับเวลาการซ้อมเพียงแค่ 4 วัน ผมก็อยากจะบอกเหมือนกันว่า การแสดงแฟนซีดริลครั้งนี้ เป็นครั้งที่ผมประทับใจที่สุดครั้งหนึ่ง เพราะด้วยความอดทน ความสามัคคีและทัศนคติที่ดี ได้ช่วยให้ นรจ.เหล่านี้่ฝ่าฟันข้อจำกัด ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ จนประสบความสำเร็จได้ในที่สุด และได้ทำในสิ่งที่หลายๆ คนอาจคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้่ ให้เป็นไปได้

แม้ว่าสิ่งนี้จะเป็นเพียงกิจกรรมเล็กๆ ที่อาจไม่มีความหมายใดๆ สำหรับบางคน แต่สำหรับ นรจ.กลุ่มนี้ ผมเชื่อว่า พวกเขาคงจะได้เรียนรู้อะไรกันไปบ้าง ซึ่งแต่ละคนก็คงแตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาคงจะได้เรียนรู้ร่วมกันก็คือ หากเราร่วมแรงร่วมใจกันทำอะไรแล้ว สิ่งที่ว่ายากยิ่ง ก็จะสำเร็จได้โดยไม่ยากนัก

ถ้าผมรู้อย่างนี้แล้ว ตอนนั้นผมสั่งให้พวกเขายกเลิกการแสดง ผมคงนึกเสียดายโอกาสที่จะได้เล่าความรู้สึกดีๆ อย่างนี้ให้พวกเราฟังมากเลยทีเดียว

ผมจีงขอบันทึกเรื่องราวนี้เอาไว้ให้ชาว รร.พธ.ฯ ไ้ด้อ่านกันใน "บันทึกบ้านสีเขียว" นะครับ